วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ประสบการณ์เสียว โอ้วว..!เย้
ผู้ช่วยพยาบาลก็บอกให้ผมนอนรอคนหมอที่เก้าอี้ทำฟัน คงนึกออกนะครับ ผ่านไปล่ะเสียวครั้งที่หนึ่ง ผมก็นอนรอพักใหญ่ หมอก็เดินเข้าเขาน่ารักมากเลยนะ เขาก็พูดว่า "สวัสดีค่ะ(ยกมือใหว้) ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ" ผมตอบว่า "ไม่เป็นรัยครับให้อภัย เพราะหมอน่ารัก" (นึกในใจ)หมดน่ารักจริง ๆ เพราะหน้าตาออกเกาหลีหน่อย ผอมสูง ขาว ผมยาว พูดได้คำเดียวว่า แล่ม เลย เอิ้กก หมอก็พูดต่อว่าเดี๋ยวฉีดยาชาก่อนนะค่ะเวลาทำจะได้ไม่เจ็บ เอาล่ะสิครับความเสียวครั้งที่สองจะมาเยือน ตอนที่หมอแหย่เข็มเข้าในปากพร้อมกับดึงกะพุ้งแก้มแล้วก็แทงเข็มฉึกเข้าไปในเหงือกผมร้องโอ้ยยย รู้มั้ยหมดพูดยังงัย "เจ็บหน่อยนะค่ะ" เราก็คิดในใจ "เอ้อ รู้แล้ว ขอร้องหน่อยไม่ได้เหรอ" ผ่านไปสิบนาที หมอก็เข้ามาใหม่ แล้วเอาอารัยไม่รู้มาจิ้มตรงฟันที่จะผ่า ผมก็ไม่รู้เพราะตอนนั้นเขาเอาผ้ากันเปื้อนมาปิดหน้าเหลือช่องไว้นิดเดียวพอให้เป็นปากและจมูกโผล่มาหายใจนิดหน่อย หมอถามว่า "เจ็บมั้ย" เรารู้สึกเพียงแต่ว่าเสียงมันดัง กึก กึก กึ๊ก กึก เราก็ตอบว่าไม่เจ็บ หมอก็บอก "งั้นเรากันเลยนะ ถ้าเจ็บให้ยกมือซ้ายนะ" เราก็บอก"ครับ" ความเสียวครั้งที่สามเริ่มมาแล้วล่ะบังเอิญผมมองลอดรูผ้าเล็ก ๆ เห็นหมดกำลังยืนมัดเข้าในปากแล้วบอกว่า "ก้มคางลง อ้าปากกว้าง ๆ " แล้วก็ได้ยินเสียง แคร่กก แต่เราไม่รู้สึกแล้วล่ะด้วยฤทธิ์ของยาชา สักพักก็ยินเสียงหมดพูดว่า "เดียวกรอฟันหน่อยนะค่ะ" แล้วก็ตามมาด้วยเสียงคล้ายสว่านไฟฟ้าหรือเครืองตัดอะรัยสักอย่าง เสียวสุด ๆ พอเสียงหยุด แล้วเค้าทำอารัยไม่รู้เหมือนหักอะไรสักอย่างในปาก โยกไปโยกมา ดึง งัด ทำอยู่อย่างนั้นล่ะครับนานมาก เดี๋ยวดึง งัด โยก กรอรากฟัน สุดท้ายไม่ล่ะ เปลี่ยนหมอ เป็นหมดผู้ชาย เอ้ยอะไรกันว่ายังไม่เสร็จ เป็นหมดผู้ชาย ก็ทำเหมือนกันครับ โยก ดึง งัด กรอรากฟัน เราก็คิดในใจ เอ้ย กรามกูจะหักก่อนฟันคุดป่าวว่ะเนี้ยะ สักพักใหญ่ ๆ หมอผู้ชายคนนั้นก็พูดว่า "เดี๋ยวหมดจะเย็บแผลให้นะครับและก็กลับบ้านได้ล่ะ" เราก็นึกอ้าวเสร็จล่ะหลังจากข่มขืนฟันคุดกูอยู่เป็นชั่วโมงดีน่ะไม่เปลี่ยนหมอเป็นคนที่สามไม่งั้นปากผม โอ้ยไม่อยากคิด ผมรับยาจ่ายตังคฺ์ผมก็จะกลับบ้าน นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ผ่าตัดฟันคุด และก็เป็นครั้งแรกของหมอผู้หญิงคนนั้นที่ผ่าตัดฟันคุดเหมือนกัน(ในความคิดของผมน่ะ เพราะหมอผู้ชายบอก เอ้าหมอใหม่จะเย็บแล้วนะมาดูสิ ผมคิดในใจตายห่าครั้งแรกของหมอเหรอเนี้ยะ) เป็นงัยล่ะเสียวมั้ยล่ะครับเมื่อต่างคนต่างก็เป็นครั้งแรกของกันและกัน เสียวม่ะ ปรืออออ
วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ป้องกัน GM ในร่างกายเราไม่ให้พังลงไป
> มาก ฟาสฟู้ด-อาหารสำเร็จรูป - แช่แข็ง-อาหารอุตสาหกรรม ฯลฯ ) ร่างกายเสียสมดุลอีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้อง นอนน้อยเกิน นอนมากเกิน นอนไม่เป็น เวลา ไม่ออกกำลังกาย ( รวมถึงออกกำลังไม่เหมาะกับสภาพร่างกายตัวเอง) เครียดมาก กดดัน มาก รีบเร่งมาก ฯลฯ คนยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะไตเสื่อมมากขึ้น
> และให้สังเกตร่างกายตัวเองดังต่อไปนี้ 1. อ่อนเพลียบ่อย ขาดความกระตือรือร้น
2. นอนไม่ค่อยหลับ หรือ หลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย หรือ กะปริดกะปรอย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม ขี้วิตกกังวล
7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8. ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย จริงๆมีเยอะกว่านี้ เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการแบบนี้ทั้ง หมด แต่โดยรวมแล้วมีปรากฎให้เห็นกับตัวเอง อะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อม
> 1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล : น้อยไม่พอ ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ
> 2. เพศสัมพันธ์ : มีเพศสัมพันธ์มากเกินควร และหลั่งอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง
> 3. การทานยารักษาโรคนานๆ หรือปริมาณที่มาก : ทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหายแต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่ ยังมีอีกเยอะครับ แต่แค่นี้คงครอบคลุมแล้วลองดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีอาการตามที่ว่าหรือไม่ การแก้ไข ง่ายสุด คือ ปรับพฤติกรรมตัวเอง ทั้ง การนอน การกิน การอยู่ หนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยว พักผ่อน ดูทีวี สันทนาการ ออกกำลังกาย) นอน 8 ชั่วโมง
หมอจะกำไรมากขึ้นจากการรักษาคนป่วย แต่คนป่วยจะไตพังกันมากขึ้น จากการกินยา แล้ววนมาให้หมอรักษาไตอีก
ดังนั้น ต้องตัดสินใจเองว่าจะบริหารจัดการชีวิตตนเองอย่างไร ที่ไม่เสียงาน ไม่เสียสุขภาพ นอกจากนี้ ผมมีข้อแนะนำ ดังนี้ครับ
> 1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดีแต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุล จึงไม่แนะนำให้เล่นต่อ เพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้น อยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ ชำนาญ ซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ ( ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับ จะเสียมากกว่าได้ ) การฝึกโยคะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยงาม
แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายในร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ แต่ต้องฝึกอย่างมีวินัย
และมีสมาธิ นอกจากนี้ หากมีฝึก ชี่กง ควบคู่ไปด้วย จะเห็นผลดี และเร็วขึ้น หากรู้สึกว่า ยากหรือห่างตัวเกินไป ก็ให้เลือกการว่ายน้ำ โดยว่ายอย่างเบาๆ แต่ต่อ เนื่อง ในเวลาที่พอสมควร ( เหนื่อยให้หยุดพัก ห้ามฝืนต่อ ) คุณไม่ได้ไปแข่งกับใคร คุณกำลัง บำบัดตัวเอง
> 2. ปรับอาหาร : งดเนื้อสัตว์ย่อยยาก วัว หมู ไก่ เป็ด ของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำแข็ง ) ของ มัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสด ที่ปรุงน้อย (เช่นสลัด)มากขึ้น ทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพด ข้าวกล้อง ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น) และงดเครื่องดื่มของมึนเมา น้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง)
> 3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลง อยู่หน้าจอคอม จอโทรทัศน์ให้น้อยลง หาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น (เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก) จะเห็นว่าที่แนะนำไป ดูเบสิคมากเลยใช่มั้ยครับ แต่ทำยากมากเลย นี่ล่ะครับ ผมถึงบอกว่าคน ในยุคนี้ป่วยกันมากขึ้น เพราะมีพฤติกรรมทำลายวงจรธรรมชาติของตัวเอง อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าพฤติกรรม หรือความรู้สึก ล้วนสัมพันธ์กับไต ไตเหมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์ เป็นผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาล แต่ก็เปราะบางยิ่ง นัก และง่ายต่อการแตกร้าว วิธีการดูแลรักษาไม่ยากสำหรับคนในยุคก่อน แต่ยากยิ่งสำหรับคนยุคนี้ นั่นคือ "คล้อยตามธรรมชาติ" คนสมัยก่อน ตื่นเช้า นอนแต่หัวค่ำ ทานอาหารสดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพา สิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ในขณะที่คนยุคนี้ นอนดึกเป็นกิจวัตร (ทำงาน , ดูบอล , ดูโทรทัศน์ , เที่ยวกลางคืน) ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกิน ความจำเป็น ฯลฯ อาการไตเสื่อมจะเกิดใน 2 ลักษณะ แยกเป็น ไตหยิน กับ ไตหยาง อาการไตหยาง หรือ ไตหดตัวแน่น
> - นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ
> - นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
> - อสุจิเคลื่อนตอนนอน
> - เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก
> 1. กินรสเค็มจัด หรือ เนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือ พวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อยๆ
> 2. การทำงาน หรือ การใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
> 3. การนั่งทำงานหรือนั่งรถนาน ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยิน หรือ ไตคลาย
> - เฉื่อยชา เกียจคร้าน
> - ความต้องการทางเพศต่ำลง
> - ปวดเมื่อหลัง เอว
> - ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะกลางคืน
> - นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น
> - อารมณ์อ่อนไหวง่าย
> - ขี้หูมาก
> - เหงื่อออกเยอะผิดปกติ ตามปกติแล้ว กลางคืน ไต ซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำ หรือ "หยิน" จะทำงานมากกว่ากลางวัน ( สังเกตว่าตื่นเช้าเราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก) ดังนั้น เมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย "หยิน" ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่น ขี้เกียจ อยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น) การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยินได้แก่
> - การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัย รวมทั้ง น้ำแข็ง ไอสกรีม หวานเย็น และอาหารลักษณะนี้
> - ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
> - การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
> - การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวัน ควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้าง หรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต ( ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่น คอตตอน ) และ หาโอกาสอกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง สำหรับคนนอนห้องแอร์ ควรสวมเสื้อผ้า ห่มผ้าให้อบอุ่น
> - การนั่งรถนานๆ โดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น
> - นอนไม่เป็นเวลา ทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อย หรือ นอนผิดเวลา สำหรับคนที่นอน และ ทำงานผิดเวลา ตามหลักวงจรธรรมชาตินั้น กลางวัน คือ เวลาสำหรับ ทำงาน เรียนหนังสือ กลางคืน คือ สำหรับพักผ่อน นอนหลับ ( หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง) การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้น จะส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย และจิตใจ อย่างแน่นอน แม้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่ นั่นเพราะ ตัวคุณมี " ทุน" ที่ยังค้ำยันอยู่ แต่ ทุนจะหมด เพราะการใช้ชีวิตที่ผิดสะสม อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่
> 1. ข้าวกล้อง
> 2. สาหร่ายทะเล
> 3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้ไม่หวานและ น้ำน้อย
> 4. เต้าเจี้ยว> หลีกเลี่ยง การใช้ชีวิต ดังนี้
> 1. การใส่รองเท้าส้นสูง
> 2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็ง หรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ (เก้าอี้ หรือ เตียง ดีไซน์เก๋ๆ ที่ นิยมกันในหมู่คนรุ่นใหม่) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็ง ไม่นุ่ม กำลังดี อย่างที่นอนใยมะพร้าว การใช้ชีวิตที่ควรปรับเพิ่ม
> 1. พยายามอย่านั่งหลังงอ
> 2. อย่านั่งนานๆ หรือ อย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ นึกขึ้นได้ให้ขยับตัว เคลื่อนไหว เปลี่ยน อิริยาบถ
ขอบคุณข้อความดี ๆ จากฟอร์เวิร์ดเมล์ : sanit kanjanapradit
วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เหรียญพระอาจารย์บุญอุ้ม
กำลังโด่งดังในหมู่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในภาคใต้ ผู้หลักผู้ใหญ่สายทหาร ตำรวจศรัทธามากครับ
อันนี้ผมได้มากับมือท่านเองเลยครับ เอามาให้ชมกัน
พญานาคเกี้ยว หลวงปู่คำพันธ์ โฆสะปัญโญ
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อยู่ทุกที่ทุกเวลา ท่านรู้จักมันหรือยัง?
เรามาดู ความหมายและความแตกต่าง ของ iphon และ android จากเว็บอื่น ๆ กันบ้าง
แอนดรอยด์เป็นชื่อของระบบปฏิบัติการ (OS) เหมือนพวก Symbian อะไรพวกนี้ครับ พัฒนาโดย Google และมีมือถือเจ้าโน้นนี้เริ่มสนใจจับไปวางไว้ในมือถือค่ายตัวเอง ไม่เกี่ยวกับ Iphone หรือ BB ที่เป็นตัวสมาร์ทโฟนนะครับ (เทียบง่ายๆ ก็เหมือน Windows บนเครื่องคอมฯ)เค้าว่าดีกันครับ ปัจจุบัน แอนดรอยด์ค่อนข้างนิยมสูง แต่ไม่เคยใช้ครับ
Android(แอนดรอยด์) คืออะไร? และ Android(แอนดรอยด์) Phone คืออะไร?วิธีที่จะเข้าใจว่า Android(แอนดรอยด์) คืออะไร? อย่างง่ายๆ ให้เราลองนึกถึง คอมพิวเตอร์ที่บ้านครับ ตอนนี้ใช้ Windows อะไรอยู่ครับ บางคนก็จะตอบว่า Windows 7, Windows Vista บางคนก็ตอบว่า Windows XP หรือบางคนอาจจะตอบว่า ผมไม่ใช้ Windows ผมใช้ Linux ซึ่งจะเป็น Linux รุ่นไหนก็ว่ากันไป … Windows หรือ Linux เราเรียกมันว่า ระบบปฏิบัติการ(OS) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าคอมพิวเตอร์ไม่ลง Windows ก็จะเปิดเครื่องเพื่อทำงานไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น โทรศัพท์มือถือ SmartPhone ก็เช่นเดียวกันครับ มันต้องการ OS ซึ่งใน iPhone นั้นบริษัทแอปเปิ้ลใช้ OS ที่ชื่อว่า iPhone OS ครับ ในขณะที่บริษัทกูเกิ้ล(Google) บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที อีกรายก็ได้ซุ่มพัฒนา OS ที่มีชื่อว่า Android(แอนดรอยด์) OS ขึ้นมาเราเข้าใจว่ามันมีระบบปฏิบัติการ iPhons OS และ Android OS แล้วนะครับ เมื่อเรานำระบบปฏิบัติการ iPhone OS ไปลงในมือถือ(เหมือนที่เราเอา Windows ไปลงในคอมพิวเตอร์) มือถือที่ลงเจ้า iPhone OS ก็จะกลายเป็นโทรศัพท์มือถือ iPhone อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ และเมื่อเราเอา Android OS ไปลงในมือถือ เราก็จะได้ Android Phone … แต่ความแตกต่างกันของ iPhone และ Android Phone ก็คือ iPhone มีผู้ผลิตรายเดียวคือแอปเปิ้ล จะไม่มีใครในโลกนี้ สามารถเอามือถือมาลง iPhone OS กลายเป็น iPhone มาขายได้อย่างแอปเปิ้ล ในขณะที่ Android(แอนดรอยด์) Phone นั้นใครๆก็ผลิตได้ เพราะกูเกิ้ลแจก Android OS ฟรีๆ เราจึงเห็นโทรศัพท์มือถือ Android Phone หลายรุ่นในตลาดมือถือ ซึ่งผลิตจากหลายบริษัท ทั้ง Samsung , Sony ericsson, HTC หรือแม้แต่กระทั่ง Motorola ..รายละเอียดเพิ่มเติม ให้ดูต่อที่เว็บไซต์ http://www.techmoblog.com/android_phone_guide/ ครับ
ระบบปฏิบัติการ Android ถูกพัฒนาให้เหมาะกับการทำงานบนสมาร์ทโฟน ใช้งานง่าย และ สะดวก รองรับบริการหรือแอปพลิเคชั่นมากมาย รวมไปถึงแอปพลิเคชั่นประเภท Social Network ที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนี้ เน้นควบคุมการทำงานผ่านจอแสดงผล ระบบสัมผัส ทำให้รูปทรงของสมาร์ทโฟนที่ใช้ Android มีความเป็นแฟชั่นไปในตัว อีกทั้งยังมีการประมวลผลอย่างรวดเร็ว ตอบสนองได้ทันใจ รองรับการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกันหรือ Multitasking และสามารถซิงโครไนซ์ข้อมูลไปเก็บไว้บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สะดวกโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ นอกเหนือจากนี้ทางด้านฮาร์ดแวร์เองก็มีความฉลาดเช่นกัน โดยรองรับเซ็นเซอร์ต่างๆ ดังนี้ Accelerometer - เครื่องมือวัดระนาบ ช่วยให้โทรศัพท์สามารถปรับการแสดงผลเป็นแนวตั้งหรือแนวนอนได้อัตโนมัติ Magnetic Field Sensor - เซ็นเซอร์ตรวจจับสนามแม่เหล็ก Temperature Sensor - เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ Proximity Sensor - เซ็นเซอร์ตรวจจับระยะห่าง ช่วยในการปิดหรือเปิดหน้าจออัตโนมัติในขณะสนทนา Orientation Sensor - เซ็นเซอร์สำหรับระบุทิศทางของเข็มทิศ Light Sensor - เซ็นเซอร์ตรวจจับแสงสว่างรอบข้าง เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละสถานที่ ระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่กล่าวมา ในบางรุ่นอาจจะใส่มาให้ไม่ครบ หรือขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นสมาร์ทโฟนในระดับบนล้วนแต่ติดตั้งเซ็นเซอร์มาให้ครบครัน อย่างเช่น Motorola Milestone ที่เปิดตัวในไทยไปเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 2.1 สามารถใช้งานแอปพลิเคชั่นได้หลากหลายในเวลาเดียวกัน ออกแบบมาพร้อมกับแป้นพิมพ์ QWERTY ที่มีขนาดบางพิเศษ หน้าจอสัมผัสแบบมัลติทัช ความละเอียดสูง มาพร้อมกับชุดแอปพลิเคชั่นบนมือถือของกูเกิ้ลกว่า 30,000 แอพพลิเคชั่น Motorola Milestone รองรับเครือข่าย 3G การเชื่อมต่อ Wi-Fi ตอบสนองการทำงานอย่างรวดเร็ว ด้วยหน่วยประมวลผลความเร็วสูง Cortex A8 รองรับระบบนำทางบนแผนที่ MOTONAV หรือ Google Maps สามารถสับเปลี่ยนการใช้งานแอปพลิเคชั่นในคราวเดียวกันได้มากถึง 6 รายการ สนทนาชัดเจนด้วยเทคโนโลยี CrystalTalk เก็บภาพประทับใจผ่านกล้องถ่ายรูป ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บันทึกได้ทั้งภาพนิ่ง และ วีดีโอในความละเอียด 720 x 480 พิกเซล
ติดตามต่อได้ที่ http://gadget.siamphone.com/news-01811.html
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553
ว่าด้วยเรื่องระบบ 3จีในประเทศไทย
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
วีดีโอพิธีเปิดมหกรรมตลาดนัดความรู้ กศน.โดย ฯพณฯ ศุภชัย โพธิ์สุ ...
เมื่อวันที่ 2-3 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครพนมของเราได้จัดงาน มหกรรมตลาดนัดความรู้ กศน. ประจำปีงบประมาณ 2553 เนื่องในโอกาส "วันที่ระลึกแห่งการรู้หนังสือสากล" ที่องค์กรยูเนสโกได้กำหนดให้วันที่ 8 กันยายน ของทุกปีเป็นวัน แห่งการเรียนรู้หนังสือ คณะกรรมการจัดงานในครั้งนี้มีนายชำนาญ วันแก้ว ผู้อำนวยการ สำนักงาน กศน.จังหวัดนครพนมเป็นประธานคณะกรรมการจัดงาน และประธานในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจาก ฯพณฯ ศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการเปิดงาน มีนายยงยุทธ นุกิจรังสรรค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นผู้กล่าวต้อนรับท่านรัฐมนตรีฯ
สามารถรับชมพิธีเปิดได้จากวีดีโอข้างล่างนี้นะครับ
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
ความรู้เรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" จากแนวคิดสู่ "การปฏิบัติ"
ที่มา : ทีม พช.สมุทรปราการ samutprakan.blogspot.com
เขียนโดย : kukiat
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553
เทคนิคการพัฒนาภาวะผู้นำชุมชนรุ่นใหม่ในการพัฒนาชุมชน
เทคนิคการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
km การจัดการความรู้เชิงแนวคิดทฤษฎี
เรื่อง การจัดการความรู้เชิงแนวคิดทฤษฎี
1.ความเป็นมา(บทนำ)กระแสการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญไม่ว่าจะเป็นบุคคล หรือองค์กร การเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วและรุนแรง ก็ด้วยปัจจัยที่เกิดจากการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสาร สนเทศ ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบกับการดำเนิน งานทั้งภายในและภายนอกองค์การ ส่งผลให้เวทีการแข่งขันที่เคยจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ ขยายขอบ เขตออกไปครอบคลุมทั่วโลก และตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ปี 2545-2549 ได้กำหนดให้การบริหารงานภาครัฐเข้าสู่ ระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) อีกทั้งแนวคิดในการบริหารจัดการสมัยใหม่ ทั้งการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) การจัดการคุณภาพ (Quality Management) การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) และ การจัดการความรู้ (Knowledge Management) ทำให้องค์กรและหน่วยงานทั้งหลายต้องปรับท่าที เพื่อความอยู่รอด และมีภูมิคุ้มกันอย่างมั่นคง เพราะองค์กร เป็นสิ่งมีชีวิต (Organic) ไม่ใช่เครื่องจักร (Mechanic) โดยคนเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ ซึ่งคนก็ไม่ใช่ต้นทุน แต่เป็นทุนมนุษย์ (Human Capital) เพราะในตัวคนมี ทักษะและประสบการณ์ที่ก่อให้ เกิดความชำนาญซึ่งเป็น “ทุนความรู้” (Knowledge Capital) จำเป็นต้องสร้างค่านิยมขององค์การ (Corporate Value) และวัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) ที่ดี ความรู้ภายใต้บริบทเฉพาะมักแฝงอยู่ในภาษา วัฒนธรรม หรือประเพณี นักวิพากษ์ ลัทธิจักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม กล่าวว่าการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมเดี่ยว ทำให้ความรู้ท้องถิ่นบางอย่างถูกทำลายลง ทำอย่างไรให้ความรู้ในทางปฏิบัติ ซึ่งมักเป็นที่ทราบกันในตัวคนหรือกลุ่มคน ถูกปรับเปลี่ยนและจัดการอย่างเป็นระบบ (Knowledge Management) เพื่อรักษาองค์กรไว้ ซึ่งจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ ให้ความรู้ทั้งหลายนั้นกลายเป็นความรู้ที่เกิดประ โยชน์สำหรับคนทั้งองค์กร เพื่อการก้าวเข้าสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) เพราะ “ความรู้” คือ “อำนาจ” 2.ความรู้และการจัดการความรู้(1.) ความหมายของความรู้ความรู้ คือ อะไร?คำว่า ความรู้ (Knowledge) นั้น ในทัศนะของฮอสเปอร์ (อ้างถึงในมาโนช เวชพันธ์ 2532, 15-16) นับเป็นขั้นแรกของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการจดจำ ซึ่งอาจจะโดยการนึกได้ มองเห็นได้ หรือ ได้ฟัง ความรู้นี้ เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยประกอบไปด้วยคำจำกัดความหรือความหมาย ข้อเท็จจริง ทฤษฎี กฎ โครงสร้าง วิธีการแก้ไขปัญหา และมาตรฐานเป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความรู้เป็นเรื่องของการจำอะไรได้ ระลึกได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนหรือใช้ความสามารถของสมองมากนัก ด้วยเหตุนี้ การจำได้จึงถือว่าเป็น กระบวนการที่สำคัญในทางจิตวิทยา และเป็นขั้นตอนที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจ การนำความรู้ไปใช้ในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ใช้ความคิดและความ สามารถทางสมองมากขึ้นเป็นลำดับ ส่วนความเข้าใจ (Comprehension) นั้น ฮอสเปอร์ ชี้ให้เห็นว่า เป็นขั้นตอนต่อมาจากความรู้ โดยเป็นขั้นตอนที่จะต้องใช้ความสามารถของสมองและทักษะในชั้นที่สูงขึ้น จนถึงระดับของการสื่อความหมาย ซึ่งอาจเป็นไปได้โดยการใช้ปากเปล่า ข้อเขียน ภาษา หรือการใช้สัญลักษณ์ โดยมักเกิดขึ้นหลังจากที่บุคคลได้รับข่าวสารต่าง ๆ แล้ว อาจจะโดยการฟัง การเห็น การได้ยิน หรือเขียน แล้วแสดงออกมาในรูปของการใช้ทักษะหรือการแปลความหมายต่าง ๆ เช่น การบรรยายข่าวสารที่ได้ยินมาโดยคำพูดของตนเอง หรือการแปลความหมายจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง โดยคงความหมายเดิมเอาไว้ หรืออาจเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อสรุปหรือการคาดคะเนก็ได้
Davenport & Prusak ได้ให้นิยามความรู้ว่า "ความรู้คือส่วนผสมที่เลื่อนไหลของประสบการณ์ที่ได้รับการวางโครงร่าง, เป็นคุณค่าต่างๆ, ข้อมูลในเชิงบริบท, และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่ชำนาญการ ซึ่งได้นำเสนอกรอบหรือโครงร่างอันหนึ่งขึ้นมา เพื่อการประเมินและการรวบรวมประสบการณ์และข้อมูลใหม่ ๆ มันให้กำเนิดและถูกประยุกต์ใช้ในใจของบรรดาผู้รู้ทั้งหลาย ในองค์กรต่าง ๆ บ่อยครั้ง มันได้รับการฝังตรึงไม่เพียงอยู่ในเอกสารต่าง ๆ หรือในคลังความรู้เท่านั้น แต่ยังอยู่ในงานประจำ, กระบวนการ, การปฏิบัติ และบรรทัดฐานขององค์กรด้วย"ในหนังสือ “Working Knowledge: How Organization Manage What They Know” โดย ดาเวนพอร์ต ที เอ็ช และ แอล พรูสัก (Davenport, T. H., และ L. Prusak, Boston: Havard Business School Press) อ้างถึงใน องค์กรแห่งความรู้ จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ หน้า 17 ของ รศ.ดร.ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ ว่า ความรู้ คือ “กรอบของการผสานระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท และความรู้แจ้งอย่างช่ำชอง ซึ่งจะเป็นกรอบสำหรับประเมินค่า และการนำประสบการณ์สารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมด้วยกัน”วิจารณ์ พานิช (2547 : 4-5) ได้ให้ความหมายของความรู้ไว้หลายทัศนะ ดังนี้ ความรู้ คือ สิ่งที่เมื่อนำไปใช้ จะไม่หมดหรือสึกหรอแต่จะยิ่งงอกเงย หรืองอกงามขึ้น กล่าวคือ1) ความรู้ คือ สารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ2) ความรู้เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้3) ความรู้เกิดขึ้น ณ จุดที่ต้องการใช้ความรู้นั้น4) ความรู้เป็นสิ่งที่ขึ้นกับบริบท และกระตุ้นให้เกิดขึ้นโดยความต้องการเกษม วัฒนชัย (2544 : 39) กล่าวว่า ความรู้ หมายถึง การรวบรวมความคิดของมนุษย์จัดให้เป็นหมวดหมู่และประมวลสาระที่สอดคล้องกัน โดยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังนั้นสิ่งที่เป็นสาระในระบบข้อมูลข่าวสาร คือความรู้ ความรู้ใหม่ต้องสร้างขึ้น บนฐานของความรู้เดิมที่มีอยู่ ความรู้ใหม่จึงเกิดจากฐานการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่เซงเก้ (Senge. 1990:3) กล่าวว่า ความรู้ หมายถึง ความสามารถที่นำไปสู่การกระทำที่มีประสิทธิภาพสรุปได้ว่า ความรู้ หมายถึง กรอบของการประสมประสานระหว่างประสบการณ์ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท และความรู้แจ้งอย่างช่ำชอง เป็นการประสมประสานที่ให้กรอบสำหรับการประเมินค่า และการนำเอาประสบการณ์กับสารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมเข้าด้วยกัน ให้เกิดขึ้น โดยถูกนำไปประยุกต์ได้ โดยบุคคล อาศัยข้อมูล ทักษะ และประสบการณ์ที่มีอยู่เป็นส่วนสนับสนุนการตัดสินใจไปสู่องค์กร หรือจากองค์กรไปสู่องค์กร(2.) องค์ประกอบของความรู้ ประกอบด้วย1. เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ และสามารถเปลี่ยนแปลง2. สามารถตัดสินได้3. เป็นสิ่งที่ได้จากประสบการณ์4. เป็นสิ่งที่มีคุณค่า คาดคะเนได้ และเชื่อถือได้5. เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความคิด ความฉลาด(3) ธรรมชาติและประเภทของความรู้ความรู้มีอยู่ทั่วไปในส่วนที่ฝังอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) และอยู่ภายนอกตัวคน (Explicit Knowledge) ซึ่งได้มีการบันทึกเก็บไว้ในหน่วยบันทึกความรู้รูปแบบบาง ๆ เช่น คู่มือ ตำรา หรือแฝงอยู่ในองค์กร ตัวผลิตภัณฑ์ และกระบวนการทำงานและการเรียนรู้ ซึ่งความรู้เหล่านี้จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคล สถาบัน และสังคม ในบรรดาปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการพัฒนานั้น ความรู้ทั้งในส่วนที่เป็นของปัจเจกบุคคลและของสถาบัน ถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง การมีการบริหารจัดการความรู้ที่ดีย่อมทำให้บุคคล สถาบัน และสังคม ได้รับประโยชน์จากความรู้อย่างเต็มที่ และในการที่จะบริหารจัดการความรู้ให้มีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้และเข้าใจในธรรมชาติของความรู้
ที่มา : คลังความรู้ พช. สมุทรปราการ
เขียนโดย : กู้เกียรต์ ญาติเสมอ
วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ประสบการณ์ใหม่ในชีวิต
วีดีโอบางส่วนที่ถ่ายได้
คาสิโนเค้าใหญ่มากครับเสียดายเค้าไม่ให้ถ่ายภาพภายในคาสิโน
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ จากวิกรม กรมดิษฐ์
ต้องบอกว่าประเทศไทยเปิดศักราชปีเสือไม่โสภา เมื่อ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ระบุว่าไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนเหมือนที่ผ่านมาในสายตาของนักลงทุนญี่ปุ่น ทำให้คิดถึงความคิดเห็นของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครที่เคยพูดถึง “ จุดอ่อน ” ของคนไทยไว้ 10 ข้อคือ
1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ
2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า
3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน
4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ
5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง
7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว
8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน
9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีมเวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้
10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคมข้อสุดท้าย! อ่านแล้วอาจต้องแปะติดข้างฝาไว้เลย!!
ทีมา : forwordmail ไม่ได้แจ้งที่มา ต้องขออภัยเจ้าของบทความ เป็นการเผยแพร่ทางความรู้เท่านั้นไม่มุ่งหวังทางธุรกิจ
เขาไปไกลแล้วจิงป่ะ
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553
การประชุมคณะกรรมการเครือข่ายงานวิจัยนครพนมที่ผ่านมา
วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553
การสร้างหัวเว็บไซต์โดยใช้ photoshop cs3
สำหรับในวีดีโอนี้ ว่าด้วยเรื่องการทำหัวเว็บไซต์ โดยใช้ photoshop cs3 ใครเก่งด้านนี้ก้อมาแนะนำด้วยครับ แลกกัน
บทความต่อไปจะมาขอคำแนะนำกับผู้รู้ในเรื่องการทำแฟรชแอนิเมชั่น ใครทำเป็นก้อหรือมีเอกสารคู่มือการใช้ โปรแกรมแฟรชแอนิเมชั่น ก็ส่งมาได้นะครับที่
phuditsaphat@gmail.com , phuditsaphatesu@gmail.com
วีดีโอประกอบบทความ
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ด้วยความคิดถึง
วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เค้าว่าพญานาคครับพี่น้อง....!
เขาว่าพญานาค ตอนที่ 1
เขาว่าพญานาค ตอนที่ 2
เขาว่าพญานาค ตอนที่ 3
เอื้อเฟื่อภาพโดย : ปรีชา นาโพธิ์ตอง
ตัดต่อ/อัพโหลด : บ่าวภู
โลกเปลี่ยนแปลง
แหม่......! อากาศบ้านเราก็ช่างตามกระแสการเมืองซะจริง ๆ เลยเชี้ยะ ร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างที่เค้าประกาศ อ่ะนะ 10 วันอันตราย เมื่อไม่กี่วันมานี่ที่จังหวัดนครพนมและหลายจังหวัดในภาคอิสานโดนพายุฝนถล่มซะ...อืม อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยนะครับปีนี้ ร้อนอยู่ดี ๆ กลับมาหนาวซะงั้น อากาศเปลี่ยนบ่อยเหมือนนักการเมืองบางจำพวกเน๊าะ ก็ว่ากันไป ไม่มีรัยหรอกครับก็แค่คุยกันไปเล่น ๆ ที่สำคัญอยากให้ทุกคนระวังเรื่องฟ้าฝน อากาศบ้านเราเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เดาใจฟ้าไม่ถูก และวีดีโอนี้ก็เป็นเพียงบางส่วนเล็กน้อยกับอากาศบ้านเรา
ภาพพายุแรงมั่กมาก ๆ วีดีโอโดย : บ่าวภู
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
เทคนิคการเขียนโครงร่างงานวิจัย กศน.อำเภอเมืองนครพนม
1. เทคนิคการกำหนดปัญหาการวิจัย
1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริงจากการพบกลุ่ม
2. จัดลำดับความสำคัญของสภาพปัญหาที่ครูสามารถแก้ปัญหาได้
3. จากการสำรวจความต้องการในการเรียนรู้ของผู้เรียน
4. ความต้องการพัฒนากระบวนการเรียนรู้การศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐานของครูและผู้เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน
6. ศึกษาจาก Internet และนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาที่พบในการจัดการเรียนการสอน
7. ปรึกษาผู้รู้ / ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการทำวิจัยมาก่อน
8. ศึกษาจากตำรางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
9. ศึกษาจากใบความรู้ที่วิทยากรมอบให้
10. จากเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน
2. เทคนิคการเขียนความสำคัญของปัญหาการวิจัย
1. เขียนจากประสบการณ์จริงที่พบในการจัดกระบวนการเรียนรู้
2. ศึกษาตัวอย่างการเขียนจากงานวิจัยและใบความรู้ที่วิทยากรมอบให้
3. ศึกษางานวิจัยที่มีรูปแบบคล้าย ๆ กับเรื่องที่จะทำและนำมาเป็นต้นแบบในการเขียนความสำคัญของปัญหาการวิจัย
4. จากเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน
3. เทคนิคการเขียนวัตถุประสงค์การวิจัย
1. กำหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาการวิจัยและเขียนให้สามารถวัดได้ และนำไปปฏิบัติได้จริง
2. ศึกษาจากใบความรู้ที่วิทยากรมอบให้
3. จากเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน
4. เทคนิคการเขียนนิยามศัพท์เฉพาะ
1. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร/พจนานุกรม/ Internet/กำหนดเองจากผู้วิจัย เพื่อสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกันกับผู้วิจัย
2. นำมาจากหัวข้อการวิจัย
3. เลือกคำสำคัญ ( คำหลัก) ที่อยู่ในงานวิจัยมากำหนดเป็นนิยามศัพท์เฉพาะ
4. ศึกษาจากใบความรู้ที่วิทยากรมอบให้
5. จากเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน
5. เทคนิคการเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. การคาดการณ์ล่วงหน้าว่าผลของการศึกษาวิจัยจะเป็นประโยชน์แก่ใคร อย่างไร
2. จากเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน
6. เทคนิคการเขียนวิธีดำเนินการวิจัย/วิธีดำเนินการแก้ปัญหา
1. ศึกษาการเขียนจากรายงานการวิจัยและใบความรู้ที่วิทยากรมอบให้
2. นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาคันคว้ามาวางแผนเป็นลำดับขั้นตอนในการแก้ปัญหาการวิจัย
3. ศึกษารูปแบบ เครื่องมือ และนวัตกรรมในการแก้ปัญหา / วิธีการแก้ปัญหา และนำมาวางแผนการวิจัย
4. เลือกนวัตกรรมที่ใช้ในการแก้ปัญหา
5. ออกแบบ/สร้าง/ทดลองใช้ และเตรียมนำไปปฏิบัติจริง
6. ศึกษาจากผู้รู้ หรือผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำวิจัย / Internet
7. จากเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน
7. เทคนิคการเขียนแผนการดำเนินงาน
1. กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานการทำวิจัยตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการวิจัย
2. กำหนดกิจกรรม และระยะเวลาในการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกิจกรรม
3. จากเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
โครงร่างการวิจัย : นัทรี หาราช
คำชี้แจง ให้ครู กศน. เขียนโครงร่างการวิจัยเรื่องพัฒนาการเรียนการสอนตามหัวข้อต่าง ๆ ที่กำหนด
1. ชื่อปัญหาการวิจัย
“การใช้สมุดบันทึกในการแก้ปัญหาของนักศึกษาที่ลืมเนื้อหาหลังจากที่เรียนผ่านไปแล้ว”
2. ความสำคัญของปัญหา
- เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของนักศึกษาที่ลืมเนื้อหาหลังการที่เรียนผ่านไปแล้ว
- เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานักศึกษาที่ลืมเนื้อหาวิชาให้ได้ศึกษาทบทวน ทำความเข้าใจกับวิชาที่เรียนผ่านไปแล้ว
3. วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อสร้างสมุดบันทึกป้องกันการลืมเนื้อหาของผู้เรียนหลังจากที่เรียนผ่านไปแล้ว
2. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมผู้เรียน ก่อนและหลังการใช้สมุดบันทึก
4. ตัวแปรที่ศึกษา
...............................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
5. นิยามคำศัพท์เฉพาะ
การสอนโดยใช้สมุดบันทึก หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการสอนโดยใช้สมุดบันทึกเป็นตัวนำเพื่อแก้ปัญหาของนักศึกษาที่ลืมเนื้อหาหลังจากที่เรียนผ่านไปแล้ว
6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. นักศึกษาได้ศึกษาทบทวน และทำความเข้าใจในเนื้อหาที่อาจารย์สอน
2. เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาของนักศึกษาที่ไม่สนใจในการเรียน
7. วิธีดำเนินการวิจัย / วิธีดำเนินการแก้ปัญหา
7.1 ประชากร / กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา
ประชากร คือ นักศึกษา กศน.ชุมชนวัดโพธิ์ศรี ระดับ ม.ต้น ที่ลงทะเบียนเรียนภาคเรียนที่ 2/2552 จำนวน 16 คน
กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษา กศน.ชุมชนวัดโพธิ์ศรี ระดับ ม.ต้น จำนวน 5 คน
7.2 เครื่องมือที่ใช้
ก. เครื่องมือในการแก้ปัญหา / แนวทางแก้ปัญหา
- ใช้สมุดบันทึกในการแก้ปัญหาของนักศึกษาที่ลืมเนื้อหา
ข. เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
- แบบสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน
7.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยใช้แบบ การสอนโดยใช้สมุดบันทึก
เก็บรวบรวมข้อมูลจาก นักศึกษา ระดับ ม.ต้น ศรช.ชุมชนวัดโพธิ์ศรี ที่ลงทะเบียนเรียนภาคเรียนที่ 2/2552
7.4 สถิติที่ใช้และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
- ค่าร้อยละ
- ค่าเฉลี่ย
8. แผนดำเนินการ
1. วางแผนและเขียนโครงร่าง 1 วัน
2. ปฏิบัติการตามแผน 3 วัน
3. เก็บข้อมูล 1 วัน
4. วิเคราะห์ 1 วัน
5. สรุปผลและเขียนรายงาน 3 วัน
9. ชื่อผู้เสนอโครงการวิจัย
นางสาวนัทรี หาราช
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553
สวัสดีวันครู ๒๕๕๓
พรุ่งนี้แล้วครับแล้วครับก็เป็นวันครู ดูแลศิษย์ให้ดีนะครับ ในปีที่ผ่านมามักจะมีข่าว(คาว)คราว ที่ไม่ดีเท่าใหร่ในวงการของครูซึ่งมักจะมีข่าวกับลูกศิษย์ ล่าสุดก็ไปถึงนักการภารโรง นับว่าเป็นสิ่งที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือของครู ดังนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นครูต้องรักษาจรรยาบรรณ กฏระเบียบ วินัยของตนให้ดี
มาพูดถึงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกันบ้างล่าสุดก็มีชื่อใหม่อีกแล้ว ต้องรอฟังกันดู แต่ที่ได้ยินมา จะเป็นชื่อว่า การศึกษาตลอดชีวิต และมีข่าวออกมาจากทางท่านเลขาว่าจะมีการสอบ NT ของนักศึกษา กศน. เพื่อวัดระดับความรู้ความสามารถ คงจะคล้าย ๆ Onet Anet ของการศึกษาขั้นพื้นฐานละมั้งผมก็ไม่แน่ใจ ยังงัยลองสืบเสาะ สอบถามจากผู้รู้ด้วยก็ดีนะครับ ใครทราบ บอกผมด้วย แสดงความคิดเห็นได้ใน บทความนี้แหล่ะ
สุดท้ายขอให้ชาวบล็อคทุกคนโชคดีครับ บาย
ภู-ธนพัฒน์
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
กีฬา ๆ เป็นยาวิเศษ
ผมคิดว่าเพื่อน ๆ ชาวบล็อกทุกคนคงได้ไปร่วมงานวันกีฬาแห่งชาติกันนะครับเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา คงสนุกสานกัน ผมเองก็มีโอกาสได้ไปร่วมเช่นกันที่วันกีฬาแห่งชาติจังหวัดนครพนม หน่วยงานของผมได้รับหน้าที่ดูแลเรื่องของกีฬาพื้นบ้าน เช่น ชักเย่อ วิ่งกระสอบ เรือบก กินวิบาก คงไม่ต้องอธิบาย ทุกคนคงรู้จักกัน และผมมีภาพมาให้ดูด้วยสนุกมาก ๆ
ภาพบางส่วนของการแข่งขันกีฬาแห่งชาติที่จังหวัดนครพนม