วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ว่าด้วยเรื่องระบบ 3จีในประเทศไทย

เป็นข่าวกันยกใหญ่สำหรับปัญหาการประมูล 3จี ที่สุดแล้วก็ตกมีอันต้องม้วนเสื่อกลับบ้านเก็บกระเป๋ากันแทบไม่ทัน เมื่อการประมูลต้องยกเลิกโดยคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ตามที่เป็นข่าว ว่ากันตรงในประเทศไทยเพิ่งจะนำ 3จีเข้ามาใช้ ระบบ3จีกำลังจะเข้ามาแทนที่ระบบเดิม ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังติดปัญหาที่การให้บริการยังไม่ลงตัว แต่ประเทศไทยเราก็ก้าวกระโดดข้ามมาเลยทั้งที่ 3จียังไม่เคยใช้แต่ผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่ทางโทรคมนาคม ก็โฆษณาจะให้บริการระบบ 3.9จี ซะล่ะ คนไทยตามไม่ทัน 3.9จียังไม่ได้ใช้ แต่ต่างประเทศเข้าจะเริ่มใช้ 4จีกันแล้ว เอ้าประเทศไทยทำอะไรอยู่ แต่ชั่งเถอะครับเรามาทำความรู้จักกับระบบนี้กันดีกว่า


3จี กลายเป็นข่าวขึ้นมาอีกแล้วเมื่อกระทรวงการคลังเตรียมรื้อสัญญาณสัมปทานมือถือใหม่ ประมาณว่ารักพี่เสียดายน้อง ในอนาคตเราจะมี 3จี แต่ระบบ 2จี ก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป 3จี คืออะไร เห็นพูดกันนักหนา มีประโยชน์อะไรกันมากมาย ผมขอไล่เรียงมากันทีละจีครับจี คือ ตัว G ในภาษาอังกฤษ ย่อมาจาก Generation แน่นอนใครๆ ก็รู้ ในยุคแรก ซึ่งก็คือยุค 1จี คือเป็นระบบอะนาล็อก ใช้โทร.เข้ารับสายกันอย่างเดียวส่งข้อมูล เมสเสจ เอสเอ็มเอสอะไรก็ไม่ได้ยุคต่อมาคือยุค ดิจิตอล เป็นระบบ 2จี ที่เมืองไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน คือเพิ่ม ระบบการส่งข้อมูล หรือ Data ได้แทนที่จะใช้การส่งเสียงอย่างเดียว และสามารถกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับจุดต่อสัญญาณต่างๆ โทรศัพท์เครื่องเดียว จึงสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก หรือที่เรียกว่าระบบ Global System for Mobilizationซึ่งก็คือ GSM ที่เราเรียกกันนั่นแหละครับ ระบบ 2จี ก็พัฒนาระบบขึ้นมาเป็น 2.5จี มีการเพิ่มเทคโนโลยี GPRS ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูล มีความเร็วสูงสุดประมาณ 115 Kbps ครับ ต่อมาก็พัฒนาต่อเนื่องมาเป็น 2.75จี มีระบบส่งข้อมูลที่เหนือขึ้นคือEDGE มีความเร็วในการส่งข้อมูลเร็วสูงสุดประมาณ 380 Kbpsคือถ้าจะให้พูดกัน ถ้าไม่ได้ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงอะไรมากนัก ระบบ 2.75จี ก็ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้สามัญชนธรรมดาได้ในระดับหนึ่งครับแต่ 3จี มันมีดีอะไร เมืองไทยถึงมาช้าเหลือกันจุดเด่นที่สุดของ 3จี คือความ เร็วในการส่งข้อมูลไร้สายที่มีความเร็วอย่างต่ำที่สุดที่ 1 Mbps อย่างที่ผู้ให้บริการบางรายในไทยที่กำลังทดสอบอยู่นั้นความเร็วก็อยู่แถวๆ 7 Mbps ครับ ทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่เป็นไปได้สะดวกมากขึ้นและจุดเด่นของ 3จี อีกประการหนึ่งก็คือ การรับส่งข้อมูลเสียง กับข้อมูลไร้สายได้พร้อมๆ กัน ที่ระบบ 2จี ทำไม่ได้ ใครใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนในปัจจุบันจะเจอปัญหาโทร.ไม่ติดบ้าง เพราะว่าโทรศัพท์กำลังรับข้อมูลอื่นอยู่แต่ 3จี สามารถรับส่งข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน 3จี จึงตอบสนองการทำงานรับส่งข้อมูลทางธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยมครับแต่ตอนนี้โลกกำลังพัฒนาเข้าสู่ระบบ 4จี แล้วที่มีความเร็วระดับ 100 Mbps สำหรับเมืองไทยอย่าเพิ่งไปฝันถึงมันครับ


เรื่องราวเทคโนโลยี 3G (Third Generation) คืออะไรความเร็วของ 3G อยู่ที่เท่าไร3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้นลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้นเช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยีระบบ 3G ( UMTS ) นั้นคือการนำเอาข้อดีของ ระบบ CDMA มาปรับใช้กับ GSM เรียกว่า W-CDMA ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่นสำหรับเมืองไทยนั้น ระบบ 3G จะเป็น เทคโนโลยีแบบ HSPA ซึ่งแยกย่อยได้เป็น HSDPA , HSUPA และ HSPA+HSDPAนั้น จะสามารถ รับส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ Download 14.4 Mbps / Upload 384 Kbps. ( ปัจจุบันผู้ให้บริการทั่วโลกยังให้บริการอยู่ที่ Download 7.2Mbps เท่านั้น )HSUPAจะเหมือนกับ HSDPA ทุกอย่างแต่การ Upload ข้อมูลจะวิ่งที่ความเร็วสูงสุด 5.76 MbpsHSPA+ เป็นระบบในอนาคต การ Download ข้อมูลจะอยู่ที่ 42 Mbps / Upload 22 Mbpsสำหรับ ในเมืองไทยนั้น ระบบ 3G ( HSPA ) ที่ Operator AIS หรือ DTAC นำมาใช้จะเป็น HSDPA โดยการ Download จะอยู่ที่ 7.2Mbps ซึ่งน่าจะได้ใช้กันในไม่ช้าข้อควรระวังในการเลือกซื้อ AirCard แบบที่รองรับ 3G คลื่นความถี่ 3G ที่ใช้กันทั่วโลก จะใช้อยู่ 3 ความถี่ที่เป็นมาตราฐานคือ 850 , 1900 และ 2100 ซึ่งเมืองไทยจะแบ่งเป็นดังนี้คลื่นความถี่ ( band ) 850 จะถูกพัฒนาโดย Dtac และ Trueคลื่นความถี่ ( band ) 900 จะถูกพัฒนาโดย AIS (ใช้ชั่วคราวที่เชียงใหม่ และ Central World)คลื่นความถี่ ( band ) 2100 กำลังรอ กทช. ทำการประมูลเพื่อจัดสรรคลื่นความถี่คลื่นความถี่ ( band ) 1900 จะถูกพัฒนาโดย TOTดัง นั้นการเลือกซื้อ AirCard , Router หรือ โทรศัพท์มือถือ และต้องการให้รอบรับ 3G ควร check ให้ดีก่อนว่าสามารถรองรับได้ทั้ง 3 คลื่นหรือเพียงบางคลื่นเท่านั้น3G น่าสนใจอย่างไรจากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On”คุณสมบัติหลักของ 3G คือมีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูลซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PCทางเลือกใช้บริการ 3G มีค่าบริการที่สูงมาก โปรดสอบถามโปรโมชั่นจากผู้ให้บริการด้วยขอบคุณเนื้อหาจากครูบ้านนอก


กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : External Link ทำไมต้องเป็น 3จี แล้วระบบ 2จี ที่เราใช้กันอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไรปัจจุบัน นี้ เราใช้เทคโนโลยี 2จี ซึ่งบางคนก็บอกว่า 2.5, 2.7 หรือ 2.8จี การจะก้าวไปสู่ 3จี ที่ดูเหมือนจะอยู่แค่เอื้อม แต่ไปไม่ถึงสักทีนั้น หากถามว่าเราพร้อมแล้วหรือยัง ความพร้อมนี้ไม่สามารถมาจากหน่วยใดหน่วยหนึ่งในระบบ แต่ต้องมาจากทุกส่วนเกี่ยวเนื่องกันหมด ไม่ว่าจะเป็น Network Provider, Operator, Terminal/ Equipment Vendor, Content, Media ที่สำคัญคือ End users ว่ามีความต้องการใช้งานที่มากกว่าความสามารถของ 2จี ในปัจจุบันนี้แล้วหรือยัง3จี ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในวงการโทรคมนาคม จุดเริ่มต้นคือเน็ตเวิร์คที่แข็งแกร่ง ด้วยปัจจัยหลายประการ 2จี ที่ใช้ทุกวันนี้ ไม่เพียงพอต่อรูปแบบเนื้อหาที่หลากหลายมากขึ้น สลับซับซ้อนมากขึ้น หรือมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้น แม้ว่าผู้ให้บริการคอนเทนท์ทุกวันนี้ ต้องการจะพัฒนาการดูหนังฟังเพลง นำเสนอข่าวสาร กราฟฟิก ฯลฯ ให้เต็มรูปแบบมัลติมีเดียมากเพียงใด แต่ก็ต้องลดคุณสมบัติลง เพราะบางบริการเน็ตเวิร์ครองรับไม่ได้ จึงต้องออกแบบมาให้ไม่ซับซ้อนมากเกินไป และผู้ใช้งานภายใต้ระบบ 2จ สามารถเปิดใช้งานได้ในระดับหนึ่ง2จี เพียงพอแล้วหรือไม่สำหรับการใช้งานในปัจจุบันสำหรับ ผู้ใช้งานทั่วไป หากใช้งานแค่รับส่งอีเมล ดูภาพที่มีความละเอียดไม่มากนัก 2จี ก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อใดที่ต้องแนบไฟล์วิดีโอคลิป หรือไฟล์งานออกแบบที่มีขนาดใหญ่ ผู้รับก็จะไม่สามารถดาวน์โหลดได้จากโทรศัพท์มือถือ พีดีเอ หรืออุปกรณ์สื่อสารไร้สายอื่นๆ หรือหากทำได้ก็ใช้เวลานาน ดังนั้น เพื่อจะให้รับได้เต็มที่ ก็ต้องใช้ผ่านระบบ พื้นฐานที่มีความเสถียรมากกว่า รับไฟล์ใหญ่ได้ดีกว่า ดูภาพเคลื่อนไหวได้ไม่สะดุด แต่ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบการสื่อสารที่ต้องหยุด นิ่งอยู่กับที่ มักจะเดินทาง ทำงาน ท่องเที่ยว แต่ขณะเดียวกันก็มีความต้องการที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทางการเงิน ข่าว ความบันเทิงได้อย่างไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ทำให้ต้องการระบบ และอุปกรณ์สื่อสารที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบ 3จี เหล่านี้จะผลักดันให้ความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย ผ่านอุปกรณ์สื่อสารแบบต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และ 3จี จะส่งเสริมให้ชีวิต ไร้สายนั้น เพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นการ พัฒนาไปพร้อมๆ กันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เริ่มตั้งแต่การวางระบบเครือข่าย ติดตั้งอุปกรณ์ เนื้อหาข้อมูลที่ผู้บริโภคต้องการ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ความร่วมมือเป็นพันธมิตรกันในอุตสาหกรรม รวมไปถึงมีเดียหรืออุปกรณ์สื่ออิเล็คทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น กล้อง เครื่องพิมพ์ โทรทัศน์ จอแสดงผล เป็นต้น ต้องมีความสามารถที่รองรับระบบ 3จี ได้ และที่สำคัญ คือแนวทางการส่งเสริมการตลาด กิจกรรมโปรโมชั่น และการให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมาย เหล่านี้จะขับเคลื่อนความต้องการและความเข้าใจ 3จี ในกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เทคโนโลยี 3จี นั้นจะเพิ่มโอกาศทั้งด้านธุรกิจ และการพัฒนา รูปแบบในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งทางภาครัฐ เอกชน และ ประชาชนทั่วไปหลักสำคัญของ 3จี คือ ความครอบคลุมของสัญญาณ และประสิทธิภาพเมื่อใช้งานนอกสถานที่ (Coverage + Mobility) โดยเฉพาะการให้บริการบรอดแบรนด์ไร้สาย (Wireless Broadband) คือส่วนผสมที่ช่วยให้ 3จี เกิดขึ้นได้ ผู้ให้บริการโครงข่ายที่ได้เปรียบคือผู้ที่บริการในลักษณะ End to End Solutions ซึ่ง การให้บริการบรอดแบรนด์ไร้สายนี้จะมีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการให้ บริการในช่วง ปลายทางของระบบเครือข่าย (Last mile) ที่ระบบอื่นๆ ให้บริการไม่ทั่วถึง3จี ส่งผลอย่างไรต่อผู้ใช้ที่เป็นบุคคลทั่วไปใน ฐานะของผู้ใช้ “3จี” จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน มากกว่าการใช้งานในระบบ 2จี เช่น การตรวจรักษาอาการทางการแพทย์เบื้องต้นในระบบทางไกล (Remote Medical service), การรับชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ต่างๆ ตามความต้องการ (Video on demand), การติดตามเฝ้าระวังภัยในสถานที่ต่างๆ (Online-monitoring), การติดต่อสื่อสารภายในเฉพาะกลุ่ม (Web community online) แม้แต่เกมออนไลน์ หรือการอัพโหลดวิดีโอคลิป สามารถทำได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว สิ่งใดที่ทำได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป ก็ย่อมสามารถทำได้บนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์สื่อสารไร้สายใดๆ ได้เช่นเดียวกัน นี่เป็นแนวโน้มของชีวิตสมัยใหม่สำหรับเนื้อหา ข้อมูลข่าวสารสาระและบันเทิง (Content) ในปัจจุบัน มีให้เลือกมากมาย ซึ่งถ้าเชื่อมต่อผ่าน Fix line หรือ ADSL ย่อมสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อยู่แล้ว เพียงแต่ 3จี ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ เข้าถึงข้อมูลได้อิสระมากยิ่งขึ้น (Mobility) ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตาม 3จี จะดีกว่า 2จี หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ Quality of Experience คือเมื่อใช้งานแล้วสามารถเข้าถึงคอนเทนท์ได้อย่างราบรื่นรวดเร็ว ไม่มีติดขัดไม่กระตุก ย่อมสร้างความประทับใจและทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน 3จี3จี ส่งผลอย่างไรต่อองค์กรด้วย ความโดดเด่นของ 3จี คือสามารถส่งข้อมูล+เสียงไปพร้อมกันได้ดี บริษัทหรือองค์กรต่างๆ สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เช่น การประชุมทางไกลที่สามารถทำได้ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Teleconference, Video Conference), หรือ การทำโมบายล์ ออฟฟิศ และ การติดต่อประสานงานที่กระชับรวดเร็ว หรือ การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ ที่สามารถเปิดอ่านได้บนมือถือ จึงทำให้เพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้มากยิ่งขึ้นนอก จากนี้ ยังสามารถพัฒนาบริการต่างๆ ขององค์กร ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบการตลาดที่แปลกใหม่ ดึงดูดใจและหลากหลายมากยิ่งขึ้น สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการโดยร่วมมือกับพันธมิตรดำเนินธุรกิจที่ส่ง เสริมกันและกัน เพื่อให้บริการที่แปลกใหม่ และสะดวกยิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้ เช่น การดาวน์โหลดเพลง การช้อปปิ้งผ่านมือถือ การติดตามสอดส่องเฝ้าระวังความปลอดภัยภายในบ้าน เรียลไทม์ (Online Monitoring)เทคโนโลยีที่เหนือกว่า 3จี คืออะไรถัด จากเทคโนโลยี 3จี ซึ่งขณะนี้ อยู่ในเทคโนโลยีอยู่ในช่วงเอชเอสพีเอ คือเอชเอสพีเอ+ หรือ และถัดไป คือ 4จี ซึ่งแตกต่างกันที่ “Throughput” หรือความสามารถในการส่งข้อมูลที่มากขึ้นต่อช่วงเวลาหนึ่ง ส่งได้เร็วมากขึ้นในระยะเวลาที่สั้นมากขึ้น ขณะนี้ ในโลกปัจจุบันเราอยู่ในยุคของเอชเอสพีเอ ในแง่ของผู้ให้บริการ การจะอัพเกรดไปยังเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ต้องพิจารณาระบบและอุปกรณ์ในเครือข่ายที่มีอยู่ (Existing network) อุปกรณ์เดิมบางอย่างไม่เอื้อต่อการพัฒนาไปสู่ 3จี หรือ 4จี หรือทำได้ก็ไม่ดีพอ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการลงทุนเครือข่ายในอนาคตยังมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่า 4จี หรือไม่ แล้วจำเป็นหรือไม่สำหรับบ้านเรา4จี หรือแอลทีอี (Long Term Evolution) เน้น Throughput; uplink, downlink เป็น 100 Mbps หากจะดาวน์โหลดภาพยนตร์ในระบบดีวีดีก็ทำได้ในระยะเวลาไม่กี่วินาที อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีก่อนจาก 3จี เพื่อพัฒนารูปแบบการใช่งานของผู้บริโภค ตอนนี้เราไม่สามารถจินตนาการได้ว่าการใช้งานในระบบ 4จี จะต่างจาก 3จี อย่างไร ในแง่ความหลากหลายของบริการ หรือ ความต้องการของตลาดและผู้ใช้งานจริง แน่นอนว่าประสิทธิภาพในด้านความเร็วจะดีกว่ามาก แต่ดีเกินความจำเป็นหรือไม่ ตอนนี้เรายังตอบไม่ได้ ความต้องการการใช้งานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอนาคต เมื่อผ่านยุคของ 3จี ถึงตอนนั้นเราอาจจะพอเห็นความต้องการอย่างชัดเจนแล้ว เช่น อาจจะมีคอนเทนท์ที่แปลกใหม่ และเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนทั่วไป ซึ่งต้องการประสิทธิภาพเครือข่ายในระดับสูงกว่า 3จี ก็เป็นได้ปัจจัยที่จะผลักดันตลาดให้ 3จี เกิดและประสบความสำเร็จ

1. ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ตลาดทั้งในด้านเทคโนโลยีและบริการ ให้ประชาชนรู้จักใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Educate market)

2. พัฒนาระบบเครือข่ายให้มีความพร้อม สามารถรองรับการเชื่อมต่อได้ครอบคลุมและรวดเร็ว (Network Availability)

3. มีการพัฒนาเนื้อหาข้อมูลทั้งสาระความรู้ ข่าวสาร และบันเทิงที่ดึงดูดความสนใจ (Content Provider)

4. การให้บริการจะต้องไม่ซับซ้อน และค่าบริการต้องไม่สูงเกินไป จึงจะผลักดันตลาดได้

5. รัฐบาลต้องผลักดัน โดยให้กฎระเบียบเปิดกว้าง เอื้อต่อการลงทุนและส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน (Government Support)

6. ความแพร่หลายและความหลากหลายของ Terminal หรือ อุปกรณ์สื่อสาร (Handset) เช่น มีทุกระดับราคา มีหลายรุ่นให้เลือก คนทั่วไปสามารถซื้อได้ ราคาย่อมเยา (Affordable, Accessible)

นายพิสิษฐ์ กล่าวในที่สุดว่า 3จี ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นเส้นทางแห่งการพัฒนาเทคโนโลยี ไม่ได้หมายถึง “ดีกว่า” แต่รองรับการใช้งานที่ “ซับซ้อนกว่า” ตามยุคสมัยและความต้องการของสังคม เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศ (Tele Communication network) เมื่อ 3จี เข้ามา ย่อมกระตุ้นการใช้งานและพัฒนาไปพร้อมๆ กันทั้งระบบของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของผู้ให้บริการระบบเครือข่าย ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผู้ให้บริการคอนเท้นต์ ผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารที่เกี่ยวเนื่อง ซัพพลายเออร์ เวนเดอร์สุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการพัฒนาเทคโนโลยีสู่ระบบ 3จี คือ ผู้บริโภค หรือ End Users นั่นเองที่มา กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : External Link




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น