วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

เคยอ่านหรือยัง เรื่องนิราศอิเหนา โดยท่านสุนทรโวหาร

นิราศอิเหนา

อิเหนา หรือดาหลัง เป็นบทพระราชนิพนธ์และบทพระนิพนธ์ของเจ้านายหลายพระองค์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ที่มีชื่อเสียงในกระบวนบทละครรำเป็นที่สุด คือบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื้อความเกี่ยวกับวงศ์กษัตริย์ชวา ชื่อวงศ์อสัญแดหวา ผู้สืบเชื้อสายมาจากประตาระกาหลา ที่ถือกันว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เปรียบได้กับเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น อิเหนาเป็นชื่อที่เราเรียกตัวเอกของเรื่อง คือระเด่นมนตรี ผู้เป็นเจ้าชายแห่งเมืองกุเรปัน เมื่อยังเด็กได้หมั้นหมายไว้กับระเด่นบุษบา เจ้าหญิงเมืองดาหา เมื่ออิเหนาเติบโตเป็นหนุ่ม ต้องไปราชกิจต่างเมือง และได้พบกับนางจินตหรา ธิดาของเจ้าระตูบ้านนอก จนได้นางเป็นชายา ความทราบถึงเมืองดาหา ท้าวดาหาโกรธนัก จึงยกนางบุษบาให้แก่ระตูจรกา ผู้รูปชั่วตัวดำแต่มีใจมั่นคงสัตย์ซื่อ ครั้นมาภายหลัง อิเหนาได้พบกับบุษบา และเกิดหลงรักนางจนสุดชีวิตจิตใจ นึกเสียดายที่ตนต้องเสียคู่หมั้นแสนสวยให้แก่ระตูรูปชั่ว อิเหนาจึงลักพาตัวนางบุษบามาไว้ยังถ้ำทอง

นิราศเรื่องนี้ ท่านสุนทรภู่จับความจากตอนที่อิเหนากลับจากไปแก้สงสัยที่เมืองดาหา แล้วกลับมาก็พบว่า บุษบาถูกลมพาย ุหอบพัดเอาตัวนางหายไปจากถ้ำทองเสียแล้ว อิเหนาจึงยกทัพออกติดตาม ระหว่างทางก็รำพันคร่ำครวญถึงนางผู้เป็นที่รักอยู่มิได้ขาด อิเหนาเดินทางติดตามอยู่เป็นเวลาถึงเจ็ดเดือน ก็ยังไม่พบ เนื้อเรื่องจบลงที่อิเหนาและไพร่พลออกบวช เพื่อส่งกุศลให้บุษบาที่อิเหนาคิดว่าคงตายไปแล้ว

ไม่ปรากฏว่าท่านสุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้ไว้เมื่อใด แต่คงจะแต่งถวายเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นแน่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานจากสำนวนกลอนว่า สุนทรภู่น่าจะแต่งเรื่องนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เมื่อครั้งสุนทรภู่ได้อาศัยพึ่งพระบารมีอยู่

๏ นิราศร้างห่างเหเสน่หา

ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา
พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย

ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม
สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย

โอ้เย็นค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย
น้องจะลอยลมบนไปหนใด

หรือเทวัญชั้นฟ้ามาพาน้อง
ไปไว้ห้องช่องสวรรค์ที่ชั้นไหน

แม้นน้องน้อยลอยถึงชั้นตรึงส์ตรัย
สหัสนัยน์จะช่วยรับประคับประคอง

หรือไปปะพระอาทิตย์พิศวาส
ไปร่วมอาสน์เวชยันต์ผันผยอง

หรือเมขลาพาชวนนวลละออง
เที่ยวลอยล่องเลียบฟ้าชมสาคร

หรือไปริมหิมพานต์ชานไกรลาส
บริเวณเมรุมาศราชสิงขร

โอ้ลมแดงแสงแดดจะแผดส่อง
จะมัวหมองมิ่งขวัญจะหวั่นไหว

จะดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ
นี่เวรใดเด็ดสวาทให้คลาดคลาฯ




๏ พระผันแปรแลรอบขอบทวีป
เห็นแต่กลีบเมฆเคลื่อนเกลื่อนเวหา

จะแลดูสุริยนก็สนธยา
จะดูฟ้าฟ้าคล้ำให้รำจวน

ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง
เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน

ไม่เห็นนุชสุดจะทรงพระองค์ซวน
ละห้อยหวนหิวโหยด้วยโรยแรง

ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด
ระทวยทดทอดทบซบกันแสง

โอ้สุดแสนแค้นอารมณ์ด้วยลมแดง
ดูเหมือนแกล้งพัดไปให้ไกลทรวง

เสียดายเอ๋ยเคยแอบแนบสนิท
ถึงชีวิตวอดวายไม่หายห่วง

โอ้น้องนุชบุษบาสุดาดวง
พี่เปล่าทรวงทรวงดังจะพังโทรมฯ




๏ โอ้โพล้เพล้เวลาปานฉะนี้
เคยเข้าที่พี่เคยได้เชยโฉม

เห็นแต่ห้องน้องน้อยลอยโพยม
ยามประโลมมิรู้ลืมเจ้าปลื้มใจ

โอ้เขนยเคยหนุนยังอุ่นอ่อน
แต่น้องน้อยลอยร่อนไปนอนไหน

ยี่ภู่เอ๋ยเคยชิดสนิทใน
วันนี้ไกลกลอยสวาทอนาถนอน

โอ้รินรินกลิ่นนวลยังหวนหอม
เคยถนอมแนบทรวงดวงสมร

ยังรื่นรื่นชื่นใจอาลัยวอน
สะอื้นอ้อนอ่อนอารมณ์ระทมทวี

จนฆ้องค่ำย่ำหึ่งหึ่งกระหึม
ยิ่งเศร้าซึมโศกาถึงยาหยี

โอ้ยามอยู่คูหาเวลานี้
เคยพาทีทอดประทับไว้กับทรวงฯ




๏ โอ้อกเอ๋ยเคยอุ่นละมุนละม่อม
เคยโอบอ้อมอ่อนตามไม่ห้ามหวง

ยังเคลิ้มเคล้นเช่นปทุมกระพุ่มพวง
เคยแนบทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย

จนเคลิ้มองค์หลงเชยเขนยหนุน
ถนอมอุ่นแอบประโลมว่าโฉมฉาย

ครั้นรู้สึกดึกดื่นสะอื้นอาย
แสนเสียดายสุดจะดิ้นสิ้นชีวัน

เห็นสิ่งของน้องนุชยิ่งสุดเศร้า
พระทัยเฝ้าเคลิ้มไคล้ดังใฝ่ฝัน

ยิ่งรำลึกตรึกตรายิ่งจาบัลย์
สุดจะกลั้นรีบออกนอกบรรพตฯ




๏ พินิจจันทร์วันเพ็งขึ้นเปล่งแสง
กระจ่างแจ้งแจ่มวงทั้งทรงกลด

สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมน้อมประณต
พระเลี้ยวลดแลแสวงดูแสงเดือน

ดูเก๋งก่อต่อเตาเห็นเงาคล้าย
เขม้นหมายมุ่งไปก็ไม่เหมือน

เห็นเงาไม้ไหวหวั่นให้ฟั่นเฟือน
จนเดือนเคลื่อนคล้อยฟ้าให้อาวรณ์

เห็นสระศรีที่เคยมาประพาส
ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน

ลมรำเพยเชยชายกระจายจร
หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรยฯ




๏ โอ้รินรินกลิ่นบุหงาสะตาหมัน
เหมือนกลิ่นจันทน์เจือนวลให้หวนโหย

หอมยี่หุบสุกรมดอกยมโดย
พระพายโชยเฉื่อยชื่นยืนตะลึง

โอ้ที่นี่ศีลาเคยมานั่ง
เห็นบัลลังก์แล้วยิ่งนึกรำลึกถึง

ดูเงื้อมเขาเงาไม้พระไทรซึ้ง
เสียงหึ่งหึ่งผึ้งรวงเฝ้าหวงรัง

จังหรีดหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง
แว่วว่าน้องนึกเสียวพระเหลียวหลัง

เห็นน้ำพุดุดั้นตรงบัลลังก์
เคยมานั่งสรงชลที่บนเตียง

เจ้าสรงด้วยช่วยพี่สีขนอง
แต่น้ำต้องถูกนิดก็หวีดเสียง

โอ้รื่นรื่นชื่นเชยที่เคยเคียง
พระทรวงเพียงเผ่าร้อนถอนฤทัย

ทุกเงื้อมเขาเหงาเงียบเซียบสงัด
ใบไม้กวัดแกว่งกิ่งประวิงไหว

ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย
ยิ่งเยือกในทรวงช้ำระยำเย็น

เที่ยวรอบสระปทุมาสะตาหมัน
เคยเห็นขวัญเนตรที่ไหนก็ไม่เห็น

ชลนัยน์ไหลซกตกกระเซ็น
ยิ่งเยือกเย็นหยุดยืนกลืนน้ำตา

จนดึกดื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ
ตะลึงเหลียวเสียวซาบอาบนาสา

เหมือนปรางทองน้องนุชบุษบา
หรือกลับมายืนแฝงอยู่แห่งใด

เที่ยวดูดาวเปล่าเปลี่ยวเสียวสะดุ้ง
จนจวนรุ่งรางรางสว่างไสว

หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร
ดวงดอกไม้บานแบ่งรับแสงทอง

หอมมณฑาสารภีดอกยี่หุบ
บ้างร่วงหรุบถูกอุระพระขนอง

ภุมรินบินว่อนมาร่อนร้อง
อาบละอองเกสรขจรจายฯ




๏ จนแจ่มแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น
ถอนสะอื้นอาลัยพระทัยหาย

ดูเวหาว่าแสนแค้นพระพาย
ไม่พาสายสวาทคืนมาชื่นใจ

จำจะตามทรามชมทางลมพัด
เผื่อจะพลัดตกลงที่ตรงไหน

ดำริพลางทางสะท้อนถอนฤทัย
ให้เตรียมพลสกลไกรจะไคลคลา

จึงแปลงนามตามกันเป็นปันจุเหร็จ
จะเที่ยวเตร็ดเตร่ในไพรพฤกษา

พลางอุ้มองค์ยาหยีวิยะดา
ขึ้นรถแก้วแววฟ้าแล้วพาไปฯ




๏ พระเหลียวดูภูผาสะตาหมัน
ที่สำคัญคูหาเคยอาศัย

จะแลลับนับปีแต่นี้ไป
จะมิได้มาเห็นเหมือนเช่นเคย

เสียแรงแต่งแปลงสร้างจะร้างเริด
ค่อยอยู่เถิดแผ่นผาคูหาเอ๋ย

โอ้มิ่งไม้ไพรพนมเคยชมเชย
จะแลเลยลับแล้วทุกแนวเนินฯ

ที่มา ไทยทัวร์ดอทคอม

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ (ตอนจบ)



ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ นโมพุทธายะ”

ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ นโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ
โม คือ พระโกนาคมโน
พุทธ คือ พระกัสสะโป
ธา คือ พระโคตโม
ยะ คือ พระศรีอริยเมตไตยโย

จนเป็นคาถาสืบต่อกันมาเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐาน
จนสำเร็จญาณ อภิญญาสมบัติ จึงสามารถเหาะไปหาอาหาร ผลไม้ด้วยฤทธิ์ทุกพระองค
์ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะไปหาอาหารผลไม้ และ บำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ
ณ ใต้ต้นนิโครธอันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ด้วยเหตุปัจจัยในกุศลบารมีธรรม ฤาทั้ง ๕
ได้มาพบกัน ณ ที่ นี้ โดยไม่ได้นัดหมาย รู้จักกันมาก่อน จึงสอบถามความเป็นมาของกันและกัน
จึงได้รู้แต่ว่า แต่ละองค์มีแต่แม่เลี้ยง แม่ที่แท้จริวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ฤาษีทั้ง ๕ จึงได้ร่วมกันตั้ง
สัจจะอธิฐาน ขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง ด้วยอำนาจสัจจะอธิฐาน ธรรมอันบริสุทธิ์ของ
ฤาษีทั้ง ๕ จึงดังก้องไปถึงพรหมโลกเป็นเหตุให้ท้าวฆติกามหาพรหมซึ่งเป็นแม่กาเผือกตาย
และได้มาเกิดเป็นพรหม ทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงจำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกขนสวยงาม
ยิ่งนัก มาปรากฏอยู่ข้างหน้าฤาษีทั้ง ๕ ฝ่าย ฤาษีทั้ง ๕ ก็รู้ด้วยญาณ ทัศนะทันทีว่า นี่แหละ
เป็นแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง จึงสอบถามแม่กาเผือกถึงความเป็นมาตั้งแต่ต้นว่า เรื่องเป็นมาอย่างไร
แม่กาเผือกจึงเล่าความเป็นมาแต่หนหลังครั้งทำรังอยู่ต้นมะเดื่อฝั่งแม่น้ำคงคา อยู่มาวันหนึ่ง
ได้ออกมาหาอาหารกินถิ่นแดนไกลถึงสถานที่ที่หนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร
เป็นธรรมชาติอันสวยงามสงบร่มเย็น บังเกิดพายุใหญ่ ได้พัดกิ่งไม้ฝนตกฟ้าคะนอง
จนมือค่ำจึงหลงทางอยู่หาทางออกไม่ถูก จนกระทั่งอรุณรุ่งวันใหม่ฝนฟ้าพายุสงบลง
จึงรีบบินกลับมาที่พักมาหาลูกที่รังด้วยความเป็นห่วง แต่ปรากฎว่าคืนที่ผ่านมาฝนตกหนัก
พายุใหญ่ได้พัดกิ่งไม้มะเดื่อหักทำให้รังไข่ทั้ง ๕ ลูกแม่กาเผือกตกลงไปในน้ำและได้ถูกน้ำพัด
ไหลไปในที่ต่างๆ หาเท่าไหร่ก็ไม่พบจนหมดความสามารถ ในที่สุดด้วยความรักความอาลัย
อันบริสุทธิ์ที่มีต่อลูกก็สิ้นใจตาย ได้เกิดเป็นพระพรหมแดนพรหมโลกชั้นสุธาวาส
มีวิมารทองคำเป็นที่อยู่ ด้วยอานิสงส์ความรักอันเมตตาอันบริสุทธิ์กับทั้งลูกเป็นพระโพธิญาณ
มีบุญญาธิมาก จึงได้เกิดมาเป็นพรหมและได้จำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกให้ลูกฤาษีทั้ง ๕
ได้ทราบถึงความเป็นมาทั้งหมด

เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเหตุ เช่นนั้นแล้้วก็รู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งและสำนึก
ในบุญสร้างคุณอันใหญ่หลวง ของแม่กาเผือก จึงน้อมกราบนมัสการ ฆติกามหาพรหม
ผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดชีวิตลูกได้สร้างบุญบารมีพระโพธิญาณ จึงกราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์
ของแม่กาเผือกผู้บังเกิดเกล้าอาไว้บูชา พระแม่กาเผือกจึงประทานผ้าฝ้ายเป็นด้ายฟั่น เป็นตีนกา
สัญญาลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือก ประทานให้ลูกฤาษีทั้ง 5 ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุก
วันพระ และต่อมาเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน เมื่อแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมประทาน
สัญลักษณ์ ไว้ให้ลูกฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5 แล้วก็อาลูกกลับเทวสถาน วิมานของตนบนพรหมโลก
ตามเดิม

ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5 ต่างก็พากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาด
ทุกวันพระก็จุดประทีบตีนกาบูชา พระแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่อยู่เสมอ เป็นเวลา
นานหลายปีชีวีฤาษีทั้ง 5 ก็ดับขันธ์ได้ไปเกิดบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ขององค์เทพ
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในที่นั้น และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญบารมี
ีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสังสารวัฏฏ์นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็จะได้ตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ไหนจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม
่ ต้นกัปโลกาก็จะนำเอาบริขารคือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองค์ในชาติสุดท้าย
ที่จะได้เป็น พระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์ กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบันนี้
พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือกต้นปฐมกัปป์ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โปรดโลกไปแล้วถึง 5 พระองค์
์ ตามลำดับดังนี้คือ

1. พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ 4 หมื่นปี มีเขมวตีนคร ของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี
2. พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ 3 หมื่นปี มีโสภวตีนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี
3. พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ 2 หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี
4. พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ 80 ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระเจ้า สุทโธทนะเป็น ราชธานี

ส่วนพระโพธิสัตว์องค์ที่ 5 อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือกคือ พระศรีอริยเมตไตรย
์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัททกัปนี้จะมีอายุถึง 8 หมื่นปี ในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้น
สภาพสังคมมนุษย์โลกจะอุดมสมบูรณ์พูนสุขมาก เพราะผู้คนมีศีลธรรมอยู่ด้วยกันได้เมตตาธรรม
มีศีล 5 บริสุทธิ์ ทุกคน จึงมีทรัพย์สมบัติมาก มีอายุ ยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีรูปร่างสวยสดงดงาม
หน้าตาผ่องใสเบิกบานด้วยกันหมด เพราะผู้คนในยุคนั้นได้สร้างบุญบารมี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา
กันมาสมบูรณ์ดีหมดและเพราะพระบารมีของพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรยที่สั่งสมบารมี ีเพื่อ ความ
สันติสุขของโลกซึ่งมีพระเจ้าสังขจักรพรรดิทรงปกครองบ้านเมืองโดยชอบธรรมในเมืองเกตุมวดีนคร
แผ่ธรรมจักรพรรดิให้คนรักษาศีล 5 ทั้งโลก เมื่อพระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ผู้คนจึงได้ฟังพระธรรมจักรได้ดื่มรส อมตธรรมแห่งพระศรีอริยเมตไตรย์ ได้บรรลุเข้าถึงสวรรค
์นิพพานโดยแท้ ผู้คนในยุคนั้นจึงโชคดีที่สุดที่เกิดมาเพื่อสันติสุข เข้าถึง ศีลธรรมอันดีงามทั้งหมด

ขอให้ทุกคนจงพากเพียร ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา จะได้ไปเกิดในพระศาสนาพระศรีอาริย์
หากเข้าสู่นิพพานยุคนี้ยังไม่ได้ ท่านก็ยังมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอน
คือพระศรีอริยเมตไตรย์ลูกแม่กาเผือกองค์สุดท้าย การเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นของหายาก
การเกิดมาพบพระพุทธเจ้าก็แสนยาก บางครั้งโลกนี้ว่าง จากพระพุทธเจ้าเป็นล้านปีสัตว์โลกไม่ม
ีโอกาสเห็น หนทางพระนิพพานเลย ขอให้พวกเราอย่าได้ประมาท จงหมั่นขยันสร้างบุญบารมี
ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทำนุบำรุง รักษาพระพุทธศาสนา ก็จะเข้าถึงศีลธรรม สันติสุข
ได้ทุกคนและได้ร่วมสายบุญบารมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์

พระอาจารย์ธรรมสาธิต เวียงกาหลง
ที่มา http://www.checkduang.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=10&Category=checkduangcom&thispage=1&No=497846

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ใกล้ถึงเวลาแล้วตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ (ตอนที่ ๑)



ผมมีเรื่องมาเล่าให้ท่านลองอ่านดูสักนิด ผมได้รับฟังมาตอนที่ผมบวชในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็เลยลองหาประวัติพระพุทธสักเรื่องประดับความรู้ เรื่องนี้บางทีอาจจะทำให้ใครหลายคนปลงกับโลกใบนี้ ก็แค่เรื่องเล่าทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่อาจทราบได้ว่าจะมีเรื่องเล่าทางศาสนาเหมือนพุทธประวัติของเรามั้ย เริ่มเลยละกันนะครับ เรื่องเล่า "กำเนิดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์"
เรื่องมีอยู่ว่าในแม่น้ำสายหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศศรีลังกา มีต้นมะเดื่อยักษ์อยู่ริมฝั่งของแม่น้ำบนยอดของต้นมะเดื่อนี้ยังมีรังนกซึ่งเป็นรังของกาเผือสองตัวผัวเมียที่เฝ้าประคบประหงมใข่ของมันทั้งห้าใบด้วยความรักและอีกไม่นานในรังแห่งนี้จะมีชีวิตใหม่เกิดมาดูโลกอีกห้าตัว
ในเข้าของวันที่สดใสกาเผือกสองตัวได้ออกไปหาอาหารเพื่อกักตุนไว้สำหรับชีวิตน้อยที่จะเกิดมาในอีกเร็ววัน ในขณะที่ทั้งสองตัวกำลังหาอาหารอยู่นั้นสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ ๆ ก็มีลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ฝนฟ้าเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา กาเผือกสองตัวบินกลับไม่ได้เฝ้ามองไปยังต้นมะเดื่อที่เห็นอยู่ไกล ลมพัดเอนไปเอนกาเผือกสองตัวเฝ้าภาวนาให้ลูกน้อยที่จะเกิดมาปลอดภัย แต่ยังไม่สิ้นภาวนาแม่กาเผือกต้องน้ำตาไหลเมื่อต้นมะเดื่อหักโค้นลงไปต่อหน้าต่อตาพ่อกาเผือกรีบบันฝ่าสายฝนลมพายุแต่ด้านแรงลมไม่ไหวถูกพัดหายไป เมื่อลมพายุสงบลงแม่กาได้แต่เสียที่คู่รักต้องมาจากไปต่อหน้า และรีบบินมาที่ต้นมะเดื่อแม่กาเผือกต้องใจสลายเมื่อไข่ทั้งห้าใบหายไปไหนไม่รู้แม่กาเผือกออกตามหา ไม่หลับ ไม่นอน ไม่กิน คงสิ้นหวังแน่แล้ว แม่กาเผือกมาครุ่นคิดที่เสียทั้งคู่รักและลูกน้อยไปจะทำยังต่อไปดีสุ่ท้ายแม่กาเผือกก็ตรอมใจตายและได้พบเจอคู่รักบนสวรรค์
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอไข่ของแม่กาเผือกได้ถูกพายุพัดกระจัดกระจายไป จนได้มีสัตว์ต่าง ๆ มาพบเจอ แต่ด้วยสัตว์เหล่านั้นมองเห็นไข่แล้วก็ดันเกิดความรักความสงสารโดยที่ไม่เข้าใจในสันชาตญานตัวของมันเอง จึงเก็บใข่นั้นไปดูอย่างดี โดยมีดังนี้ ใข่ใบที่ ๑ แม่ไก่ได้นำมาฟูมฟักดุจดังลูกในอกที่ตัวเองเบ่งออกมา ใบที่ ๒ นากน้อยผู้ไม่รู้จักว่าตัวเองจะออกไข่เป็นตัวหรือไข่ก็ได้เฝ้ารักหวงห่วงไข่ใบนี้ด้วยหวังจะเป็นเพื่อนในยามเหงา ใบที่ ๓ เต่าที่หลงคิดว่าไข่ตัวเองได้ถูกน้ำพัดเอามาริมน้ำจึงนำกลับไปดูแลอย่างดี ใบที่ ๔ แม่วัวจิตใจดีเกิดความรักต่อใข่ที่พบในริมน้ำจึงนำกลับมาเลื้ยง เมื่อกลับราชสีห์ผู้เป้นเจ้าป่าก็ได้ใข่ใบที่ ๕ มาดูแลด้วยความรักเมตตา เช่นกัน
วันเวลาผ่านครั้งในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ทั้ง ๕ ปรากฏเป็นมนุษย์
์รูปร่างสวยสดงดงาม ทั้ง ๕ พระองค์ ในเวลาเดียวกันตามลำดับของแม่เลี้ยงทั้ง ๕ ที่นำไข่ไปเก็บ
ดูแลรักษา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ได้เจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงดัวยความกตัญญู จึงรู้ทำหน้าที่
ี่ทุกอย่างทดแทนบุญคุณแม่เลี้ยงเป็นอย่างดีจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่ง ก็มีจิตคิด
ที่จะออกบวชเนกขัมบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่าจึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั่ง ๕ พระองค์
ฝ่ายแม่เลี้ยงถึงจะมีความรักความอาลัยในลูกสักเพียงใด แต่ก็ไม่ขัดความประสงค์์เจตนาที่เป็น
บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของลูกจึงได้ อนุญาตให้ลูกไปบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความ
อนุโมทนา ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ของพระโพธิ สัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ ที่มุ่งมั่นจะบำเพ็ญบานมี
พระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก ให้พ้นจากกองทุกข์ภัยในวัฏฏะสงสาร
แม่เลี้ยง ทั้ง ๕ เห็นปณิธาน อย่างนั้นจึงฝากนามของแม่เลี้ยง ไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์
ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาคหน้าเมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับ
พระนามดังนี้
1. องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นไก่
2. องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค
3. องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า
4. องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค
5. องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่ เป็นราชสีห์
ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ นโมพุทธายะ”

ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ นโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ
โม คือ พระโกนาคมโน
พุทธ คือ พระกัสสะโป
ธา คือ พระโคตโม
ยะ คือ พระศรีอริยเมตไตยโย

จนเป็นคาถาสืบต่อกันมาเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐาน
จนสำเร็จญาณ อภิญญาสมบัติ จึงสามารถเหาะไปหาอาหาร ผลไม้ด้วยฤทธิ์ทุกพระองค
์ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะไปหาอาหารผลไม้ และ บำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ
ณ ใต้ต้นนิโครธอันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ด้วยเหตุปัจจัยในกุศลบารมีธรรม ฤาทั้ง ๕
ได้มาพบกัน ณ ที่ นี้ โดยไม่ได้นัดหมาย รู้จักกันมาก่อน จึงสอบถามความเป็นมาของกันและกัน
จึงได้รู้แต่ว่า แต่ละองค์มีแต่แม่เลี้ยง แม่ที่แท้จริวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ฤาษีทั้ง ๕ จึงได้ร่วมกันตั้ง
สัจจะอธิฐาน ขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง ด้วยอำนาจสัจจะอธิฐาน ธรรมอันบริสุทธิ์ของ
ฤาษีทั้ง ๕ จึงดังก้องไปถึงพรหมโลกเป็นเหตุให้ท้าวฆติกามหาพรหมซึ่งเป็นแม่กาเผือกตาย
และได้มาเกิดเป็นพรหม ทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงจำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกขนสวยงาม
ยิ่งนัก มาปรากฏอยู่ข้างหน้าฤาษีทั้ง ๕ ฝ่าย ฤาษีทั้ง ๕ ก็รู้ด้วยญาณ ทัศนะทันทีว่า นี่แหละ
เป็นแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง จึงสอบถามแม่กาเผือกถึงความเป็นมาตั้งแต่ต้นว่า เรื่องเป็นมาอย่างไร
แม่กาเผือกจึงเล่าความเป็นมาแต่หนหลังครั้งทำรังอยู่ต้นมะเดื่อฝั่งแม่น้ำคงคา อยู่มาวันหนึ่ง
ได้ออกมาหาอาหารกินถิ่นแดนไกลถึงสถานที่ที่หนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร
เป็นธรรมชาติอันสวยงามสงบร่มเย็น บังเกิดพายุใหญ่ ได้พัดกิ่งไม้ฝนตกฟ้าคะนอง
จนมือค่ำจึงหลงทางอยู่หาทางออกไม่ถูก จนกระทั่งอรุณรุ่งวันใหม่ฝนฟ้าพายุสงบลง
จึงรีบบินกลับมาที่พักมาหาลูกที่รังด้วยความเป็นห่วง แต่ปรากฎว่าคืนที่ผ่านมาฝนตกหนัก
พายุใหญ่ได้พัดกิ่งไม้มะเดื่อหักทำให้รังไข่ทั้ง ๕ ลูกแม่กาเผือกตกลงไปในน้ำและได้ถูกน้ำพัด
ไหลไปในที่ต่างๆ หาเท่าไหร่ก็ไม่พบจนหมดความสามารถ ในที่สุดด้วยความรักความอาลัย
อันบริสุทธิ์ที่มีต่อลูกก็สิ้นใจตาย ได้เกิดเป็นพระพรหมแดนพรหมโลกชั้นสุธาวาส
มีวิมารทองคำเป็นที่อยู่ ด้วยอานิสงส์ความรักอันเมตตาอันบริสุทธิ์กับทั้งลูกเป็นพระโพธิญาณ
มีบุญญาธิมาก จึงได้เกิดมาเป็นพรหมและได้จำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกให้ลูกฤาษีทั้ง ๕
ได้ทราบถึงความเป็นมาทั้งหมด

เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเหตุ เช่นนั้นแล้้วก็รู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งและสำนึก
ในบุญสร้างคุณอันใหญ่หลวง ของแม่กาเผือก จึงน้อมกราบนมัสการ ฆติกามหาพรหม
ผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดชีวิตลูกได้สร้างบุญบารมีพระโพธิญาณ จึงกราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์
ของแม่กาเผือกผู้บังเกิดเกล้าอาไว้บูชา พระแม่กาเผือกจึงประทานผ้าฝ้ายเป็นด้ายฟั่น เป็นตีนกา
สัญญาลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือก ประทานให้ลูกฤาษีทั้ง 5 ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุก
วันพระ และต่อมาเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน เมื่อแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมประทาน
สัญลักษณ์ ไว้ให้ลูกฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5 แล้วก็อาลูกกลับเทวสถาน วิมานของตนบนพรหมโลก
ตามเดิม

ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5 ต่างก็พากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาด
ทุกวันพระก็จุดประทีบตีนกาบูชา พระแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่อยู่เสมอ เป็นเวลา
นานหลายปีชีวีฤาษีทั้ง 5 ก็ดับขันธ์ได้ไปเกิดบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ขององค์เทพ
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในที่นั้น และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญบารมี
ีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสังสารวัฏฏ์นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็จะได้ตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ไหนจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม
่ ต้นกัปโลกาก็จะนำเอาบริขารคือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองค์ในชาติสุดท้าย
ที่จะได้เป็น พระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์ กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบันนี้



ผ่านเดือน ผ่านปี หลายปี ยังไม่มีผู้ใดสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า จนทั้งห้าแก่ชราและถึงแก่ความตายในที่สุด แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้าตอนไหนอ่ะ.......
( รออ่านตอนที่ ๒ ) โดย ภูธนาพัฒน์

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การสร้างภาพลายน้ำโดย photoshop cs

การสร้างตัวอักษรลายน้ำด้วยโปรแกรม Photoshop สามารถทำได้โดยพึ่งฟิลเตอร์แบบต่างๆ ที่มีใน Photoshop อยู่แล้ว ดังวิธีการต่อไปนี้





1.เราก็เลือกภาพที่เราต้องการทำอักษรลายน้ำขึ้นมาก่อนครับ เช่นภาพนี้นะครับ



2. คลิกเครื่องมือ (Horizontal Type Tool)




3.พิมพ์อักษรข้อความลงไปบนภาพได้เลยครับ



4.ในส่วนนี้คือการย่อหรือเพิ่มขนาดของข้อความ ไปที่ edit>Transfrom>Scale จากนั้นเอาเม้าส์ไปชี้ที่จะสี่เหลื่ยมมุมใดมุมหนึ่ง ก็ลากเข้าลากออกได้ตามใจชอบครับ






5. คลิกขวาในเลเยอร์ข้อความเลือกคำสั่ง Rasterize Type เพื่อเปลี่ยนอักษรให้เป็นภาพธรรมดา





6. ที่เลเยอร์ข้อความให้ล็อคเลเยอร์ โดยคลิกปุ่ม (Lock Tranparen pixels)



7. คลิกคำสั่ง Filter > Stylize> Emboss



8. ในหน้าต่างสำหรับกำหนดค่าฟิลเตอร์ ให้กำหนดค่า Angle = 135, Height = 3 และ Amount = 100




9. หลังจากกำหนดค่าแล้วเราจะได้ผลลัพธ์ ดังภาพตัวอย่าง




10. คลิกคำสั่ง Fiter > Blur > Gaussuan Blur


11. ที่ช่อง Layer blending mode ให้เปลี่ยนโหมดเป็น Hard Light หรือเลือกโหมดอื่นๆตามใจชอบก็ได้






12.จากนั้นคลิ๊กที่ fx > Bevel and Emboss (Depth = 246 , Direction = Up , Size = 6)



เลือก OK จะได้ผลลัพธ์ดังภาพครับ



อย่าลืมลองทำดูนะครับ ...

เทคนิคการทำรีทัชภาพซอฟท์ด้วย photoshop

เราจะมาปรับภาพให้ขาวและก็ Soft สวยกว่าตัวจริงกันนะครับ เรามีวิธีปรับภาพใน Photoshop ให้ขาวนวล Soft ง่าย ๆ แค่คลิกสองคลิกตามสไตส์มือใหม่ แต่ได้ผลแบบถ่ายในสตูครับไม่ยากเลยขั้นตอนง่ายๆ เรามาดูวิธีกัน







ขั้นตอนที่1 เปิดไฟล์ภาพที่ต้องการขึ้นมาCopy Layer Background ขึ้นมาอีก 1 Layer โดยไปที่ Layer>Duplicate Layer จะได้ Background Copy ดังภาพ


ขั้นตอนที่ 2 ทำงานที่ Layer Background copy โดยเปลี่ยนโหมดภาพจาก Normal เป็น Screen ดังรูปขั้น



ตอนที่ 3 ยังคงทำงานที่ Layer Background copy อยู่ ไปที่ Filter>Blur>Gaussian Blur ปรับความเบลอตามที่ต้องการ แล้วคลิก ok.


ผมเลือกประมาณ 4.0 ครับ
* หากภาพสว่างหรือมืดเกินไปเราสามารถลด Opacity เพื่อให้ได้ภาพที่พอดี หรือปรับ Levels ของภาพเพิ่มได้ตามที่ต้องการ *




ขั้นตอนสุดท้าย รวม Layer ภาพเข้าด้วยกัน ไปที่ Layer>Flatten Image แล้วก็ Save เป็นอันจบงาน
เปรียบเทียบ ภาพต้นฉบับ-ภาพที่ปรับแต่งเรียบร้อย
เห็นมั้ยล่ะครับว่าง่ายนิดเดียวเอง ภาพถ่ายของเราก็สวยขึ้นได้แบบผิดหูผิดตาไปเลย เอาล่ะได้เวลาทดลองเล่นกันดูแล้วนะคะ ใครมีภาพถ่ายอะไรสวยๆเอามาอวดกันดูนะครับ...

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทคนิคในการทำงานดีๆที่เรียกว่า คาถา 6 P




ใครที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จ ในหน้าที่การงานเท่าที่ควร หรือล้มเหลวเมื่อปีที่ผ่านมา อย่าเพิ่งท้อ ลองค้นหาจุดบกพร่องของตัวเองแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมทั้งหาเทคนิควิธีการใหม่ๆมาปรับใช้ในการทำงาน ซึ่งก็มีเทคนิคในการทำงานดีๆที่เรียกว่า คาถา 6 P มาฝาก
1. P-Positive Thinkingคือ การมีทัศนคติที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่คิดในทางลบ เช่น หากเจอปัญหาในการทำงาน แทนที่จะนั่งกลุ้มใจคิดว่าคราวนี้ต้องแย่แน่ ก็ให้มองว่า นี่เป็นหนทางหนี่งที่จะฝึกฝนให้เราเก่งกล้ามากยิ่งขึ้น

2. P-Peaceful Mind คือ
การมีจิตใจที่สงบ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “จงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” หรือเปล่า คำพูดนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว เวลาเกิดปัญหาขึ้น เราอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับปัญหานั้น การมีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ จะทำให้เราเกิดปัญญาในการคิดหาวิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้ ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย

3. P-Patient คือ
การมีความอดทน คาถาข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อที่แล้ว เพราะการที่เราจะมีจิตที่สงบได้ เราต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ระงับอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ หากสิ่งใดๆ ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เราก็ต้องอดทนรอคอยให้ถึงช่วงเวลาของเรา นอกจากนี้ยังต้องอดทน ต่อปัญหาและความยากลำบากในการทำงานด้วย

4. P-Punctual คือ การเป็นคนตรงต่อเวลา มนุษย์เราได้ถูกปลูกฝังให้เป็นคนมีวินัย รู้จักตรงต่อเวลามาตั้ง แต่ยังเป็นเด็ก เช่น การไม่มาโรงเรียนสาย ส่งการบ้านให้ตรงเวลา ในการทำงานก็เช่นกัน หากเรามาทำงานสาย เจ้านายคงไม่ชอบแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าเราผิดนัดลูกค้า ผลเสียคงตามมาอีกเป็นกระบุง แม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ เจ้านายหรือลูกค้าคงไม่ไว้ใจให้เราทำงานใดๆแล้วละ

5. P-Polite คือ การเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นคนสุภาพนอบน้อมจะทำให้มีแต่คนรักใคร่ และอยากช่วยเหลือ ยิ่งถ้าเรามีตำแหน่งใหญ่โตด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีความสุภาพอ่อนน้อมเพราะจะทำให้ผู้อื่นยิ่งเกรงใจเรามากขึ้น ตรงกันข้าม การทำตัวกระด้างกระเดื่อง หยาบคาย หยิ่งยโส ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม และไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย

6. P-Professional คือ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การที่เรามีหน้าที่อะไร เราก็ควรทำตัวให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆ หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และหมั่นฝึกปรือฝีมือในการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การทำงานอย่างมืออาชีพ จะเป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจของเจ้านาย รวมไปถึงลูกค้าที่ย่อมจะพอใจ และไว้วางใจ ให้เราดูแลงานของเขาต่อไป คาถา 6 P ที่นำมาฝากนี้ อยากให้นำไปปฏิบัติให้เป็นนิสัย รับรองว่ามันจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างแน่นอน




แหล่งที่มา : oknation อัพเดท : 20-05-2554 16:23 น.

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กิจกรรมประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง ส่งเสริมประชาธิปไตย







ในช่วงนี้ถ้าจะไม่พูดถึงการเลือกตั้ง ในวันที่ 3 เดือนกรกฎาคม 2554 คงจะเชยกันไปหน่อย ดังนั้นเราจึงมาว่ากันในเรื่องของการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ดูจะมีการตื่นตัวกันอย่างมาก ก็เนื่องได้รับแรงกระตุ้นทางสื่อต่าง ๆ นับตั้งแต่ข่าวว่าจะมีการยุบสภา ก็ทำให้ใครหลายคนเฝ้ารอว่าเมื่อใหร่จะได้เลือกตั้งกันซะที แล้วแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ทุกคนเฝ้ารอว่าจะมีอะไรใหม่ ๆ บ้างมั้ย วันที่ประชาชนทั่วไปจะได้เป็นผู้กำหนดชะตาบ้านเมืองว่าจะเดินต่อไปข้างหน้า หรือต้องถอยหลังเข้าคลองต่อไปหรือไม่จำนวนคนไทยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง นั้นเรามาดูสถิติกันครับ
เปิดสถิติการใช้สิทธิเลือกตั้ง

**** ใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร
1. ปี 2548 มีผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งไว้จำนวน 104,136 คน แต่มาใช้สิทธิเพียง 41,882 คน คิดเป็นร้อยละ 40.22
2. ปี 2550 มีผู้มาขอลงทะเบียน ไว้ 80,161 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 58,807 คน คิดเป็นร้อยละ 73.36 3. ปี 2554 (3 ก.ค.) มีผู้มาขอลงทะเบียนไว้จำนวน 147,330 คน ซึ่งจะใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งได้ในระหว่างวันที่ 17-26 มิ.ย. 54 ที่สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล หรือลงคะแนนทางไปรษณีย์ตามที่สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลกำหนด

**** ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัด
1. ปี พ.ศ. 2548 มีผู้มาลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดไว้ จำนวน 348,739 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง เพียง 143,153 คน คิดเป็นร้อยละ 41.05
2. ปี พ.ศ. 2550 มีผู้มาลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดไว้ จำนวน 2,095,410 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวน 1,831,351 คน คิดเป็นร้อยละ 87.40
3. ปี พ.ศ. 2554 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัด ในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ จำนวน 2,644,544 คน และจังหวัดที่มีคนมาลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ามากที่สุดคือที่ กรุงเทพมหานคร จำนวน 1,077,972 คน จ.ชลบุุรี มีผู้มาขอใช้สิทธิ จำนวน 230,845 คน สมุทรปราการ จำนวน 218,494 คน ปทุมธานี จำนวน 141,366 คน สมุทรสาคร จำนวน 106,778 คน และอีกหลายจังหวัดที่มีจำนวนหลักหมื่นคน

**** ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตจังหวัด
1. ปี พ.ศ. 2548 มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า จำนวน 529,316 คน
2. ปี พ.ศ. 2550 มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า จำนวน 1,124,065 คน
3. ปี พ.ศ. 2554 ???
จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ประจำปี 2554 ทั้งหมด มีทั้งสิ้น 47,321,180 คน
*อ้างอิงจาก ข่าวเที่ยงช่อง 3 วันที่ 19 พ.ค. 2554
ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ ผมจึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกไปใช้สิทธิ์ของท่านให้เต็มที่อย่านอนหลับทับสิทธิ์กันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

สัตว์โลกทั้งหลายที่เจริญแล้วโปรดอ่านสักนิด



หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม " หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "



คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา



-ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125



-ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา



-บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี



-อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี



-มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225



-สิริรวมอายุได้ 99 ปี






คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด ธรรมประจำใจ พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์






ละได้ย่อมสงบ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ






สันดาน ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได ้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก






ชีวิตทุกข์ การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้งฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้าน ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย






บรรเทาทุกข์ การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ ยากกว่าการเกิด ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย ไม่สิ้นสุด แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น






ยึดจึงเดือดร้อน ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ






อยู่ให้สบาย ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง






ธรรมารมณ์ การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์






กรรม ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างทีว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง






มารยาทของผู้เป็นใหญ่ ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ






โลกิยะ หรือ โลกุตระ คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกิยะ ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ? ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ? ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ ? แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง






ศิษย์แท้ พิจารณากายในกาย พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า






รู้ซึ้ง ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา






ใจสำคัญ การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย






หยุดพิจารณา คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้น ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา แล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้






บริจาค ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก นี่คือเรื่องของนามธรรม






ทำด้วยใจสงบ เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก






มีสติพร้อม จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง






เตือนมนุษย์ มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีง านทำในไม่ช้า มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า






พิจารณาตัวเอง คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง






คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด



ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม ธรรมะของหลวงปู่ทวด อ่านแล้วส่งต่อ เพื่อเป็นธรรม



(ฟอร์เวิร์ดเมล์)

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

วีดีโอการประกวดนางสงกรานต์ 8 เม.ย.54



วีดีโอการประกวดนางสงกรานต์ 8 เม.ย.54
ณ สำนักงาน กศน.จังหวัดนครพนม


ตัดต่อ/คาราโอเกะ by Phuditsaphat

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ



วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 22 - 23 ก.พ.54
ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการนครพนม จ.นครพนม

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจราชการเมื่อเดือน ก.พ.2554 ที่ผ่านมา

ก็ไปตะลอน ๆ อยู่ที่อุบลเกือบ ๆ ครึ่งเดือนอ่ะครับเลยยังไม่ว่างที่หาอะไร มาขึ้นบล็อคตัวเอง ตอนนี้มีโอกาศเลยอยากเอาวีดีโอที่ใช้นำเสนอตอนที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการมาแบ่งปันกันดูครับแต่
เนื่องจากว่าไฟล์วีดีโอมีขนาดที่ใหญ่มากในการทำไฟล์ซิพจึงแยกเป็นพาร์ท เมื่อดาวน์โหลดมารวมกันแล้วครบแล้วจึงแตกไฟล์ออกมาก็จะกลับรวมเป็นไฟล์วีดีโอตัวเดียวเหมือนเดิมครับ

-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 1
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 2
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 3
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 4
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 5
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 6
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 7
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 8
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 9
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 10
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 11
-วีดีโอนำเสนอผู้ตรวจ Parth 12

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554




+++ ผู้หญิงอายุ 30 กับเมื่ออายุ 15 มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างนะ !!!! +++
พึ่งได้รับ forward mail มาฉบับหนึ่ง อ่านแล้วก็ตลกดี พร้อมกับคิดว่าคนเขียนนี่ช่างคิดออกมาได้.... ก็ไม่รู้ว่ามีความจริงอยู่ประมาณไหน โดยสรุปเค้าเปรียบเทียบว่าผู้หญิงเมื่ออายุ 30 กับเมื่ออายุ 15 นั้นมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ลองอ่านกันดูนะครับ


-อายุ 15 เวลามีปัญหากับใคร ตบก่อนถามทีหลัง
อายุ 30 ประโยคยอดนิยมคือ ช่างมันเถอะ,ไม่เป็นไรค่ะ

-อายุ 15 ฟังเพลงวัยรุ่น
อายุ 30 ลูกทุ่งเท่านั้น

-อายุ 15 สาวกแมคโดนัล
ายุ 30 สลัดผักตลอดกาล


-อายุ 15 ฝันว่าสักวันจะเจอหนุ่มหล่อ มีอายุนิดๆ นิสัยดีๆ
อายุ 30 ขอแค่เป็นผู้ชายก็พอ

-อายุ 15 อยากจะออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านกับเพื่อนๆ
อายุ 30 วันทั้งวันคิดถึงแต่ครอบครัว

-อายุ 15 หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มีแค่แป้งฝุ่น ลิปมัน
อายุ 30 ซื้อตู้เย็นมาอีกหนึ่งตู้ไว้ในห้องนอน เพื่อแช่เครื่องสำอาง

-อายุ 15 กลัวสิว
อายุ 30 กลัวฝ้า

-อายุ 15 ซ่าไม่กลัวตาย
อายุ 30 ตระเวณทำบุญ

-อายุ 15 เห็นเพื่อนสำคัญกว่าพ่อแม่
อายุ 30 เห็นพ่อแม่สำคัญกว่าเพื่อน

-อายุ 15 รอบเอว 24
อายุ 30 รอบเอว...ไม่อยากจะบรรยาย

-อายุ 15 ไม่มีหนี้
อายุ 30 กู้ทุกอย่างยกเว้นกับระเบิด...ครับ


.....55555 ชอบข้อความสุดท้ายจริงๆอ่ะ 55555.....

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

การจัดวางระบบสายใยแก้วนำแสงของ UniNet(NEdNet)

การพัฒนาเครือข่ายด้านการศึกษาถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมชี้แจงการดำเนินโครงการพัฒนาระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษาเพื่อรองรับการศึกษาทั้งระบบ ต้องบอกก่อนว่าเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา เป็นเครือข่ายเพื่อการศึกษาวิจัย ที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2539 เพื่อขยายโอกาสการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากส่วนกลางสู่ภูมิภาค เชื่อมโยงมหาวิทยาลัยในสังกัด สกอ. พร้อมวิทยาเขตทุกแห่ง เครือข่ายเฉพาะกิจ เชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็มและเครือข่ายอื่น ๆ จากส่วนกลาง
ระบบของการเชื่อมต่อ จากส่วนปลายทางหรือระดับกระจาย(โรงเรียน เขตพื้นที่การศึกษา วิทยาลัย)เชื่อมต่อเข้าโหนดในจังหวัดตัวเอง(นครพนมมีสถานีอยู่ที่สำนักงานอธิกรบดีมหาวิทยาลัยนครพนม)แต่ละโหนดจะเชื่อมต่อเข้ากับส่วนกลางและจะเชื่อมต่อภายนอกภายโหนดส่วนกลาง เชื่อมต่อภาคพื้นยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเครือข่ายด้านการศึกษาเฉพาะ ระบบนี้จะไม่อนุญาติให้ หน่วยอื่นที่ไม่ได้จัดการศึกษาเข้าใช้เด็ดขาดจึงทำให้มีความเร็วในการเชื่อมต่อเพราะเป็นระบบสารสนเทศเฉพาะด้านการศึกษาเท่านั้น
กิจกรรมบนเครือข่าย UniNet มีอะไรบ้าง
การเรียนทางไกลแบบโต้ตอบ อยู่คนละที่แต่สามารถเรียนร่วมกันได้
การประชุมสัมนาทางไกล
อีเลิร์นนิ่ง
การใช้อินเทอร์เน็ตด้านการศึกษาวิจัยกับเครือข่ายด้านการศึกษาวิจัยทั่วโลก
การใช้อินเตอร์ทั่วไป
การใช้ทรัพยากรด้านการศึกษาร่วมกัน
เครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัยไทย
ด้านการแพทย์ สามารถรักษา หรือผ่าตัดผ่านหุ่นยนต์ ผ่านระบบนี้ได้เช่นกัน
หากสถานศึกษาใดต้องการระบบสายใยแก้วนำแสงก็แจ้งจำนงไปทีมหาลัยนครพนมได้เลยครับและสอบถามรายละเอียดได้ในที่เดียวกัน

สิ่งที่ท่านต้องเตรียมคือ
ข้อมูลเครือข่ายเดิม เช่น ไอพีแอดเดรส จำนวนของเซิร์ฟเวอร์
อุปกรณ์เกทเวร์ บุคลากร
จัดเตรียมระบบลอก(Log) และระบบพิสูจน์ตัวตน ตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ 2550
เตรียมตัวและความรู้ในการใช้งาน IPv6 โดยเฉพาะผู้ดูและระบบ

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

รายงานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำข้อสอบ ปลายภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๓

การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำข้อสอบ ปลายภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๓ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๑ ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ ณ ห้องประชุมไชยบุรี สถาบัน กศน. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

สำนักงาน กศน.จังหวัดนครพนม จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ๓ ราย คือ
๑.นางสาวถนอมจิต ศรีกงพาน ตำแหน่งครูอาสา ฯ
๒.นางณัฐธยาน์ สังวรณ์กิจ ตำแหน่งครูอาสา ฯ
๓.นายภูดิษพัฒน์ ธนพัฒน์ปรีชา ตำแหน่งนักวิชาการคอมพิวเตอร์

เนื้อหาการประชุม วันที่ ๑๐ - ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ (การปฏิบัติการด้านข้อสอบ)
-แนะนำวิทยากรในการจัดทำเว็บไซต์เพื่อการสั่งข้อสอบจากบริษัท ที.เค.เอส สยามเพลส เมแนจเม้นท์ จำกัด บริษัทมีหน้าที่จัดทำพิมพ์และตรวจสอบบรรจุข้อสอบและจัดส่งให้กับทาง กศน.จังหวัด
-ทางบริษัทจะทำการพิมพ์รหัส ชื่อ สถานที่สอบลงในการดาษคำตอบและจัดข้อสอบเป็นชุด ๆ (A,B,C,D)เพื่อป้องกันการทุจริตของการสอบ
-ปฏิบัติการจัดสั่งข้อสอบหลักสูตร ๕๑ ผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
-ตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนชุดข้อสอบ ในหลักสูตร ๔๔ และ ๕๑ ให้ถูกต้องครบถ้วน

วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ ( ข้อตกลงร่วมกัน)
- สถาบัน กศน.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดพิมพ์ข้อสอบ หลักสูตร ๔๔ จะเริ่ม วันที่ ๕ ก.พ.๕๔
- ให้เจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คข้อสอบ ช่วง วันที่ ๕-๗ มีนาคม ๕๔ โดย สถาบัน ภาคอีสานจะเป็นผู้กำหนดและนำส่งข้อสอบในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๕๔
- ๑๔ - ๓๑ มีนาคม ๕๔ ตรวจกระดาษคำตอบ โดยสถาบัน กศน.ภาคอีสานเป็นผู้กำหนดวันเวลาของแต่ละจังหวัด
- โปรแกรมสั่งข้อสอบผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หลักสูตร ๕๑ ทาง admin ผู้ดูและจะเป็นผู้กำหนด ผู้ใช้งานและรหัสผ่านให้แต่ละสถานศึกษา
- admin ระดับจังหวัดจะเป็นผู้คอยตรวจสอบความถูกต้องในการสั่งข้อสอบของสถานศึกษา
- ในภาคเรียนต่อไป จะทำการสั่งจำนวนข้อสอบผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทุกหลักสูตร(๔๔,๕๑)
- ผลการสอบภาคเรียนที่ ๑ / ๕๒ กำลังประมวลในแต่ละรายวิชา เพื่อนำมาหาค่าเฉลี่ย เพื่อให้สถานศึกษานำไปปรับปรุงพัฒนาในส่วนที่ได้คะแนนต่ำ

- สถาบัน กศน.ภาคอีสาน จะสำรวจความต้องการการพัฒนาบุคลากรด้านการวัดผลและประเมินผล จะทำหนังสือการสำรวจความต้อง ไปถึงจังหวัดเพื่อแจ้งจำนวนบุคลากรผู้เข้าอบรมกลับไปที่ สถาบัน กศน.ภาคอีสาน



ภูดิษพัฒน์ ธนพัฒน์ปรีชา
รายงาน