วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ใกล้ถึงเวลาแล้วตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ (ตอนที่ ๑)



ผมมีเรื่องมาเล่าให้ท่านลองอ่านดูสักนิด ผมได้รับฟังมาตอนที่ผมบวชในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็เลยลองหาประวัติพระพุทธสักเรื่องประดับความรู้ เรื่องนี้บางทีอาจจะทำให้ใครหลายคนปลงกับโลกใบนี้ ก็แค่เรื่องเล่าทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่อาจทราบได้ว่าจะมีเรื่องเล่าทางศาสนาเหมือนพุทธประวัติของเรามั้ย เริ่มเลยละกันนะครับ เรื่องเล่า "กำเนิดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์"
เรื่องมีอยู่ว่าในแม่น้ำสายหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศศรีลังกา มีต้นมะเดื่อยักษ์อยู่ริมฝั่งของแม่น้ำบนยอดของต้นมะเดื่อนี้ยังมีรังนกซึ่งเป็นรังของกาเผือสองตัวผัวเมียที่เฝ้าประคบประหงมใข่ของมันทั้งห้าใบด้วยความรักและอีกไม่นานในรังแห่งนี้จะมีชีวิตใหม่เกิดมาดูโลกอีกห้าตัว
ในเข้าของวันที่สดใสกาเผือกสองตัวได้ออกไปหาอาหารเพื่อกักตุนไว้สำหรับชีวิตน้อยที่จะเกิดมาในอีกเร็ววัน ในขณะที่ทั้งสองตัวกำลังหาอาหารอยู่นั้นสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ ๆ ก็มีลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ฝนฟ้าเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา กาเผือกสองตัวบินกลับไม่ได้เฝ้ามองไปยังต้นมะเดื่อที่เห็นอยู่ไกล ลมพัดเอนไปเอนกาเผือกสองตัวเฝ้าภาวนาให้ลูกน้อยที่จะเกิดมาปลอดภัย แต่ยังไม่สิ้นภาวนาแม่กาเผือกต้องน้ำตาไหลเมื่อต้นมะเดื่อหักโค้นลงไปต่อหน้าต่อตาพ่อกาเผือกรีบบันฝ่าสายฝนลมพายุแต่ด้านแรงลมไม่ไหวถูกพัดหายไป เมื่อลมพายุสงบลงแม่กาได้แต่เสียที่คู่รักต้องมาจากไปต่อหน้า และรีบบินมาที่ต้นมะเดื่อแม่กาเผือกต้องใจสลายเมื่อไข่ทั้งห้าใบหายไปไหนไม่รู้แม่กาเผือกออกตามหา ไม่หลับ ไม่นอน ไม่กิน คงสิ้นหวังแน่แล้ว แม่กาเผือกมาครุ่นคิดที่เสียทั้งคู่รักและลูกน้อยไปจะทำยังต่อไปดีสุ่ท้ายแม่กาเผือกก็ตรอมใจตายและได้พบเจอคู่รักบนสวรรค์
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอไข่ของแม่กาเผือกได้ถูกพายุพัดกระจัดกระจายไป จนได้มีสัตว์ต่าง ๆ มาพบเจอ แต่ด้วยสัตว์เหล่านั้นมองเห็นไข่แล้วก็ดันเกิดความรักความสงสารโดยที่ไม่เข้าใจในสันชาตญานตัวของมันเอง จึงเก็บใข่นั้นไปดูอย่างดี โดยมีดังนี้ ใข่ใบที่ ๑ แม่ไก่ได้นำมาฟูมฟักดุจดังลูกในอกที่ตัวเองเบ่งออกมา ใบที่ ๒ นากน้อยผู้ไม่รู้จักว่าตัวเองจะออกไข่เป็นตัวหรือไข่ก็ได้เฝ้ารักหวงห่วงไข่ใบนี้ด้วยหวังจะเป็นเพื่อนในยามเหงา ใบที่ ๓ เต่าที่หลงคิดว่าไข่ตัวเองได้ถูกน้ำพัดเอามาริมน้ำจึงนำกลับไปดูแลอย่างดี ใบที่ ๔ แม่วัวจิตใจดีเกิดความรักต่อใข่ที่พบในริมน้ำจึงนำกลับมาเลื้ยง เมื่อกลับราชสีห์ผู้เป้นเจ้าป่าก็ได้ใข่ใบที่ ๕ มาดูแลด้วยความรักเมตตา เช่นกัน
วันเวลาผ่านครั้งในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ทั้ง ๕ ปรากฏเป็นมนุษย์
์รูปร่างสวยสดงดงาม ทั้ง ๕ พระองค์ ในเวลาเดียวกันตามลำดับของแม่เลี้ยงทั้ง ๕ ที่นำไข่ไปเก็บ
ดูแลรักษา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ได้เจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงดัวยความกตัญญู จึงรู้ทำหน้าที่
ี่ทุกอย่างทดแทนบุญคุณแม่เลี้ยงเป็นอย่างดีจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่ง ก็มีจิตคิด
ที่จะออกบวชเนกขัมบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่าจึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั่ง ๕ พระองค์
ฝ่ายแม่เลี้ยงถึงจะมีความรักความอาลัยในลูกสักเพียงใด แต่ก็ไม่ขัดความประสงค์์เจตนาที่เป็น
บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของลูกจึงได้ อนุญาตให้ลูกไปบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความ
อนุโมทนา ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ของพระโพธิ สัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ ที่มุ่งมั่นจะบำเพ็ญบานมี
พระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก ให้พ้นจากกองทุกข์ภัยในวัฏฏะสงสาร
แม่เลี้ยง ทั้ง ๕ เห็นปณิธาน อย่างนั้นจึงฝากนามของแม่เลี้ยง ไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์
ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาคหน้าเมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับ
พระนามดังนี้
1. องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นไก่
2. องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค
3. องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า
4. องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค
5. องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่ เป็นราชสีห์
ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ นโมพุทธายะ”

ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ นโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ
โม คือ พระโกนาคมโน
พุทธ คือ พระกัสสะโป
ธา คือ พระโคตโม
ยะ คือ พระศรีอริยเมตไตยโย

จนเป็นคาถาสืบต่อกันมาเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐาน
จนสำเร็จญาณ อภิญญาสมบัติ จึงสามารถเหาะไปหาอาหาร ผลไม้ด้วยฤทธิ์ทุกพระองค
์ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะไปหาอาหารผลไม้ และ บำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ
ณ ใต้ต้นนิโครธอันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ด้วยเหตุปัจจัยในกุศลบารมีธรรม ฤาทั้ง ๕
ได้มาพบกัน ณ ที่ นี้ โดยไม่ได้นัดหมาย รู้จักกันมาก่อน จึงสอบถามความเป็นมาของกันและกัน
จึงได้รู้แต่ว่า แต่ละองค์มีแต่แม่เลี้ยง แม่ที่แท้จริวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ฤาษีทั้ง ๕ จึงได้ร่วมกันตั้ง
สัจจะอธิฐาน ขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง ด้วยอำนาจสัจจะอธิฐาน ธรรมอันบริสุทธิ์ของ
ฤาษีทั้ง ๕ จึงดังก้องไปถึงพรหมโลกเป็นเหตุให้ท้าวฆติกามหาพรหมซึ่งเป็นแม่กาเผือกตาย
และได้มาเกิดเป็นพรหม ทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงจำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกขนสวยงาม
ยิ่งนัก มาปรากฏอยู่ข้างหน้าฤาษีทั้ง ๕ ฝ่าย ฤาษีทั้ง ๕ ก็รู้ด้วยญาณ ทัศนะทันทีว่า นี่แหละ
เป็นแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง จึงสอบถามแม่กาเผือกถึงความเป็นมาตั้งแต่ต้นว่า เรื่องเป็นมาอย่างไร
แม่กาเผือกจึงเล่าความเป็นมาแต่หนหลังครั้งทำรังอยู่ต้นมะเดื่อฝั่งแม่น้ำคงคา อยู่มาวันหนึ่ง
ได้ออกมาหาอาหารกินถิ่นแดนไกลถึงสถานที่ที่หนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร
เป็นธรรมชาติอันสวยงามสงบร่มเย็น บังเกิดพายุใหญ่ ได้พัดกิ่งไม้ฝนตกฟ้าคะนอง
จนมือค่ำจึงหลงทางอยู่หาทางออกไม่ถูก จนกระทั่งอรุณรุ่งวันใหม่ฝนฟ้าพายุสงบลง
จึงรีบบินกลับมาที่พักมาหาลูกที่รังด้วยความเป็นห่วง แต่ปรากฎว่าคืนที่ผ่านมาฝนตกหนัก
พายุใหญ่ได้พัดกิ่งไม้มะเดื่อหักทำให้รังไข่ทั้ง ๕ ลูกแม่กาเผือกตกลงไปในน้ำและได้ถูกน้ำพัด
ไหลไปในที่ต่างๆ หาเท่าไหร่ก็ไม่พบจนหมดความสามารถ ในที่สุดด้วยความรักความอาลัย
อันบริสุทธิ์ที่มีต่อลูกก็สิ้นใจตาย ได้เกิดเป็นพระพรหมแดนพรหมโลกชั้นสุธาวาส
มีวิมารทองคำเป็นที่อยู่ ด้วยอานิสงส์ความรักอันเมตตาอันบริสุทธิ์กับทั้งลูกเป็นพระโพธิญาณ
มีบุญญาธิมาก จึงได้เกิดมาเป็นพรหมและได้จำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกให้ลูกฤาษีทั้ง ๕
ได้ทราบถึงความเป็นมาทั้งหมด

เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเหตุ เช่นนั้นแล้้วก็รู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งและสำนึก
ในบุญสร้างคุณอันใหญ่หลวง ของแม่กาเผือก จึงน้อมกราบนมัสการ ฆติกามหาพรหม
ผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดชีวิตลูกได้สร้างบุญบารมีพระโพธิญาณ จึงกราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์
ของแม่กาเผือกผู้บังเกิดเกล้าอาไว้บูชา พระแม่กาเผือกจึงประทานผ้าฝ้ายเป็นด้ายฟั่น เป็นตีนกา
สัญญาลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือก ประทานให้ลูกฤาษีทั้ง 5 ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุก
วันพระ และต่อมาเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน เมื่อแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมประทาน
สัญลักษณ์ ไว้ให้ลูกฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5 แล้วก็อาลูกกลับเทวสถาน วิมานของตนบนพรหมโลก
ตามเดิม

ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5 ต่างก็พากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาด
ทุกวันพระก็จุดประทีบตีนกาบูชา พระแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่อยู่เสมอ เป็นเวลา
นานหลายปีชีวีฤาษีทั้ง 5 ก็ดับขันธ์ได้ไปเกิดบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ขององค์เทพ
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในที่นั้น และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญบารมี
ีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสังสารวัฏฏ์นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็จะได้ตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ไหนจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม
่ ต้นกัปโลกาก็จะนำเอาบริขารคือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองค์ในชาติสุดท้าย
ที่จะได้เป็น พระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์ กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบันนี้



ผ่านเดือน ผ่านปี หลายปี ยังไม่มีผู้ใดสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า จนทั้งห้าแก่ชราและถึงแก่ความตายในที่สุด แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้าตอนไหนอ่ะ.......
( รออ่านตอนที่ ๒ ) โดย ภูธนาพัฒน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น