วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประสบการณ์เสียว โอ้วว..!เย้

ผมมีประสบการณ์เสียว ๆ มาเล่าให้ฟังมันเป็นประสบการณ์ที่จะหาอะไรมาเสียวสยิวกิ้วได้ขนาดนี้ไม่มีอีกแล้ว มันคงจะติดตราตรึงใจฝั่งแน่นในความจำของผมไปอีกนานเท่านาน ผมคิดว่าหลาย ๆ คนคงจะเกิดเจอกับตัวเองใช่ป่ะ เรื่องเสียว ๆ สยิวมั่กมาก เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ผมไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งตามที่หมอนัดเพื่อทำการผ่าฟันคุด ซึ่งมันก็เป็นครั้งแรกของผมอ่ะนะ ก็กังวล(มาก)อยู่บ้าง เราก็ฟังแต่คนอื่นเขาเล่าให้ฟังว่าผ่าฟันคุดมันอย่างงั้นอย่างงี้ เราก็เลยกังวลบ้างเป็นธรรมดาใช่ม่ะ เอ้ออ ผมก็นั่งรออยู่พักใหญ่ผู้ช่วยพยาบาลก็เรียก ผมก็เข้าไปอันดับแรกเขาก็เอ็กซ์เรย์ ครั้งแรกไม่ผ่านเพราะถ่ายภาพไม่ถึง ไม่เจอรากฟันเราก็เริ่มคิดล่ะว่าไม่เจอรากฟันสงสัยต้องลึกแน่ะ รอบสองผ่าน โอ้แม่เจ้ามันขึ้นแนวนอนแล้วไปดันฟันกรามทำให้โยกมิน่าผมถึงได้เจ็บแบบซี้ดดดด เสียวววว มาก ๆ เลยครับก็เพราะมันเป็นอย่างนี้นี่เอง อืมม
ผู้ช่วยพยาบาลก็บอกให้ผมนอนรอคนหมอที่เก้าอี้ทำฟัน คงนึกออกนะครับ ผ่านไปล่ะเสียวครั้งที่หนึ่ง ผมก็นอนรอพักใหญ่ หมอก็เดินเข้าเขาน่ารักมากเลยนะ เขาก็พูดว่า "สวัสดีค่ะ(ยกมือใหว้) ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ" ผมตอบว่า "ไม่เป็นรัยครับให้อภัย เพราะหมอน่ารัก" (นึกในใจ)หมดน่ารักจริง ๆ เพราะหน้าตาออกเกาหลีหน่อย ผอมสูง ขาว ผมยาว พูดได้คำเดียวว่า แล่ม เลย เอิ้กก หมอก็พูดต่อว่าเดี๋ยวฉีดยาชาก่อนนะค่ะเวลาทำจะได้ไม่เจ็บ เอาล่ะสิครับความเสียวครั้งที่สองจะมาเยือน ตอนที่หมอแหย่เข็มเข้าในปากพร้อมกับดึงกะพุ้งแก้มแล้วก็แทงเข็มฉึกเข้าไปในเหงือกผมร้องโอ้ยยย รู้มั้ยหมดพูดยังงัย "เจ็บหน่อยนะค่ะ" เราก็คิดในใจ "เอ้อ รู้แล้ว ขอร้องหน่อยไม่ได้เหรอ" ผ่านไปสิบนาที หมอก็เข้ามาใหม่ แล้วเอาอารัยไม่รู้มาจิ้มตรงฟันที่จะผ่า ผมก็ไม่รู้เพราะตอนนั้นเขาเอาผ้ากันเปื้อนมาปิดหน้าเหลือช่องไว้นิดเดียวพอให้เป็นปากและจมูกโผล่มาหายใจนิดหน่อย หมอถามว่า "เจ็บมั้ย" เรารู้สึกเพียงแต่ว่าเสียงมันดัง กึก กึก กึ๊ก กึก เราก็ตอบว่าไม่เจ็บ หมอก็บอก "งั้นเรากันเลยนะ ถ้าเจ็บให้ยกมือซ้ายนะ" เราก็บอก"ครับ" ความเสียวครั้งที่สามเริ่มมาแล้วล่ะบังเอิญผมมองลอดรูผ้าเล็ก ๆ เห็นหมดกำลังยืนมัดเข้าในปากแล้วบอกว่า "ก้มคางลง อ้าปากกว้าง ๆ " แล้วก็ได้ยินเสียง แคร่กก แต่เราไม่รู้สึกแล้วล่ะด้วยฤทธิ์ของยาชา สักพักก็ยินเสียงหมดพูดว่า "เดียวกรอฟันหน่อยนะค่ะ" แล้วก็ตามมาด้วยเสียงคล้ายสว่านไฟฟ้าหรือเครืองตัดอะรัยสักอย่าง เสียวสุด ๆ พอเสียงหยุด แล้วเค้าทำอารัยไม่รู้เหมือนหักอะไรสักอย่างในปาก โยกไปโยกมา ดึง งัด ทำอยู่อย่างนั้นล่ะครับนานมาก เดี๋ยวดึง งัด โยก กรอรากฟัน สุดท้ายไม่ล่ะ เปลี่ยนหมอ เป็นหมดผู้ชาย เอ้ยอะไรกันว่ายังไม่เสร็จ เป็นหมดผู้ชาย ก็ทำเหมือนกันครับ โยก ดึง งัด กรอรากฟัน เราก็คิดในใจ เอ้ย กรามกูจะหักก่อนฟันคุดป่าวว่ะเนี้ยะ สักพักใหญ่ ๆ หมอผู้ชายคนนั้นก็พูดว่า "เดี๋ยวหมดจะเย็บแผลให้นะครับและก็กลับบ้านได้ล่ะ" เราก็นึกอ้าวเสร็จล่ะหลังจากข่มขืนฟันคุดกูอยู่เป็นชั่วโมงดีน่ะไม่เปลี่ยนหมอเป็นคนที่สามไม่งั้นปากผม โอ้ยไม่อยากคิด ผมรับยาจ่ายตังคฺ์ผมก็จะกลับบ้าน นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ผ่าตัดฟันคุด และก็เป็นครั้งแรกของหมอผู้หญิงคนนั้นที่ผ่าตัดฟันคุดเหมือนกัน(ในความคิดของผมน่ะ เพราะหมอผู้ชายบอก เอ้าหมอใหม่จะเย็บแล้วนะมาดูสิ ผมคิดในใจตายห่าครั้งแรกของหมอเหรอเนี้ยะ) เป็นงัยล่ะเสียวมั้ยล่ะครับเมื่อต่างคนต่างก็เป็นครั้งแรกของกันและกัน เสียวม่ะ ปรืออออ

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ป้องกัน GM ในร่างกายเราไม่ให้พังลงไป










คนที่อ่านอาจจะส่งว่า GM ในร่างกายเราคืออะไรท่านลองหาคำตอบได้ในบทความนี้




อ่านเถอะครับมีประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล








> อย่าเข้าใจว่า ขอบตาดำ เกิดจากนอนน้อย นอนดึก เท่านั้นร่างกายจะมีสัญญาณบอกความผิด ปกติ ที่เกิดขึ้นเสมอ แต่เราไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่า ร่างกายต้องการบอกอะไรคนที่ขอบตาดำ พึงระวังไว้ครับ ว่าร่างกายกำลังเตือนว่า ไตกำลังจะเสื่อม ! ไม่ว่าอายุแค่ไหน หนุ่มสาว หรือ แก่ชรา ล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกันทั้งนั้นผมพูดถึงไตเสื่อมนะ ครับ ไม่ใช่โรคไต ไตทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกาย ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆ อย่างของไต จึงสรุปสั้นๆว่า ไตเปรียบเหมือน GM หรือ ผจก. ของร่างกายคนยุคปัจจุบัน ทำร้ายไตตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่ากินอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป( เค็ม-มัน- เผ็ด
> มาก ฟาสฟู้ด-อาหารสำเร็จรูป - แช่แข็ง-อาหารอุตสาหกรรม ฯลฯ ) ร่างกายเสียสมดุลอีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้อง นอนน้อยเกิน นอนมากเกิน นอนไม่เป็น เวลา ไม่ออกกำลังกาย ( รวมถึงออกกำลังไม่เหมาะกับสภาพร่างกายตัวเอง) เครียดมาก กดดัน มาก รีบเร่งมาก ฯลฯ คนยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะไตเสื่อมมากขึ้น
> และให้สังเกตร่างกายตัวเองดังต่อไปนี้ 1. อ่อนเพลียบ่อย ขาดความกระตือรือร้น
2. นอนไม่ค่อยหลับ หรือ หลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย หรือ กะปริดกะปรอย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม ขี้วิตกกังวล
7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8. ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย จริงๆมีเยอะกว่านี้ เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการแบบนี้ทั้ง หมด แต่โดยรวมแล้วมีปรากฎให้เห็นกับตัวเอง อะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อม
> 1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล : น้อยไม่พอ ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ
> 2. เพศสัมพันธ์ : มีเพศสัมพันธ์มากเกินควร และหลั่งอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง
> 3. การทานยารักษาโรคนานๆ หรือปริมาณที่มาก : ทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหายแต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่ ยังมีอีกเยอะครับ แต่แค่นี้คงครอบคลุมแล้วลองดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีอาการตามที่ว่าหรือไม่ การแก้ไข ง่ายสุด คือ ปรับพฤติกรรมตัวเอง ทั้ง การนอน การกิน การอยู่ หนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยว พักผ่อน ดูทีวี สันทนาการ ออกกำลังกาย) นอน 8 ชั่วโมง
หมอจะกำไรมากขึ้นจากการรักษาคนป่วย แต่คนป่วยจะไตพังกันมากขึ้น จากการกินยา แล้ววนมาให้หมอรักษาไตอีก
ดังนั้น ต้องตัดสินใจเองว่าจะบริหารจัดการชีวิตตนเองอย่างไร ที่ไม่เสียงาน ไม่เสียสุขภาพ นอกจากนี้ ผมมีข้อแนะนำ ดังนี้ครับ
> 1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดีแต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุล จึงไม่แนะนำให้เล่นต่อ เพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้น อยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ ชำนาญ ซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ ( ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับ จะเสียมากกว่าได้ ) การฝึกโยคะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยงาม
แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายในร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ แต่ต้องฝึกอย่างมีวินัย
และมีสมาธิ นอกจากนี้ หากมีฝึก ชี่กง ควบคู่ไปด้วย จะเห็นผลดี และเร็วขึ้น หากรู้สึกว่า ยากหรือห่างตัวเกินไป ก็ให้เลือกการว่ายน้ำ โดยว่ายอย่างเบาๆ แต่ต่อ เนื่อง ในเวลาที่พอสมควร ( เหนื่อยให้หยุดพัก ห้ามฝืนต่อ ) คุณไม่ได้ไปแข่งกับใคร คุณกำลัง บำบัดตัวเอง
> 2. ปรับอาหาร : งดเนื้อสัตว์ย่อยยาก วัว หมู ไก่ เป็ด ของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำแข็ง ) ของ มัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสด ที่ปรุงน้อย (เช่นสลัด)มากขึ้น ทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพด ข้าวกล้อง ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น) และงดเครื่องดื่มของมึนเมา น้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง)
> 3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลง อยู่หน้าจอคอม จอโทรทัศน์ให้น้อยลง หาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น (เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก) จะเห็นว่าที่แนะนำไป ดูเบสิคมากเลยใช่มั้ยครับ แต่ทำยากมากเลย นี่ล่ะครับ ผมถึงบอกว่าคน ในยุคนี้ป่วยกันมากขึ้น เพราะมีพฤติกรรมทำลายวงจรธรรมชาติของตัวเอง อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าพฤติกรรม หรือความรู้สึก ล้วนสัมพันธ์กับไต ไตเหมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์ เป็นผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาล แต่ก็เปราะบางยิ่ง นัก และง่ายต่อการแตกร้าว วิธีการดูแลรักษาไม่ยากสำหรับคนในยุคก่อน แต่ยากยิ่งสำหรับคนยุคนี้ นั่นคือ "คล้อยตามธรรมชาติ" คนสมัยก่อน ตื่นเช้า นอนแต่หัวค่ำ ทานอาหารสดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพา สิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ในขณะที่คนยุคนี้ นอนดึกเป็นกิจวัตร (ทำงาน , ดูบอล , ดูโทรทัศน์ , เที่ยวกลางคืน) ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกิน ความจำเป็น ฯลฯ อาการไตเสื่อมจะเกิดใน 2 ลักษณะ แยกเป็น ไตหยิน กับ ไตหยาง อาการไตหยาง หรือ ไตหดตัวแน่น
> - นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ
> - นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
> - อสุจิเคลื่อนตอนนอน
> - เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก
> 1. กินรสเค็มจัด หรือ เนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือ พวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อยๆ
> 2. การทำงาน หรือ การใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ
> 3. การนั่งทำงานหรือนั่งรถนาน ส่วนอีกลักษณะคือ ไตหยิน หรือ ไตคลาย
> - เฉื่อยชา เกียจคร้าน
> - ความต้องการทางเพศต่ำลง
> - ปวดเมื่อหลัง เอว
> - ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะกลางคืน
> - นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น
> - อารมณ์อ่อนไหวง่าย
> - ขี้หูมาก
> - เหงื่อออกเยอะผิดปกติ ตามปกติแล้ว กลางคืน ไต ซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำ หรือ "หยิน" จะทำงานมากกว่ากลางวัน ( สังเกตว่าตื่นเช้าเราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก) ดังนั้น เมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย "หยิน" ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่น ขี้เกียจ อยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น) การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยินได้แก่
> - การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัย รวมทั้ง น้ำแข็ง ไอสกรีม หวานเย็น และอาหารลักษณะนี้
> - ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
> - การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
> - การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวัน ควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้าง หรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต ( ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่น คอตตอน ) และ หาโอกาสอกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง สำหรับคนนอนห้องแอร์ ควรสวมเสื้อผ้า ห่มผ้าให้อบอุ่น
> - การนั่งรถนานๆ โดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น
> - นอนไม่เป็นเวลา ทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อย หรือ นอนผิดเวลา สำหรับคนที่นอน และ ทำงานผิดเวลา ตามหลักวงจรธรรมชาตินั้น กลางวัน คือ เวลาสำหรับ ทำงาน เรียนหนังสือ กลางคืน คือ สำหรับพักผ่อน นอนหลับ ( หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง) การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้น จะส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย และจิตใจ อย่างแน่นอน แม้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่ นั่นเพราะ ตัวคุณมี " ทุน" ที่ยังค้ำยันอยู่ แต่ ทุนจะหมด เพราะการใช้ชีวิตที่ผิดสะสม อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่
> 1. ข้าวกล้อง
> 2. สาหร่ายทะเล
> 3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้ไม่หวานและ น้ำน้อย
> 4. เต้าเจี้ยว> หลีกเลี่ยง การใช้ชีวิต ดังนี้
> 1. การใส่รองเท้าส้นสูง
> 2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็ง หรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ (เก้าอี้ หรือ เตียง ดีไซน์เก๋ๆ ที่ นิยมกันในหมู่คนรุ่นใหม่) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็ง ไม่นุ่ม กำลังดี อย่างที่นอนใยมะพร้าว การใช้ชีวิตที่ควรปรับเพิ่ม
> 1. พยายามอย่านั่งหลังงอ
> 2. อย่านั่งนานๆ หรือ อย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ นึกขึ้นได้ให้ขยับตัว เคลื่อนไหว เปลี่ยน อิริยาบถ

ขอบคุณข้อความดี ๆ จากฟอร์เวิร์ดเมล์ : sanit kanjanapradit